วอลมาร์ทเผยแนวโน้มกำไรต่ำกว่าคาด แม้ยอดขายในสหรัฐฯ ยังโตต่อเนื่อง หุ้นรูดกว่า 6%
วอลมาร์ท (Walmart Inc.) กลายเป็นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่รายแรกที่ประกาศผลประกอบการหลังช่วงเทศกาลวันหยุด และสร้างความประหลาดใจให้ตลาดด้วยการคาดการณ์กำไรตลอดปีที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงถึงประมาณ 6.5% สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยรวม

กำไรต่อหุ้นต่ำกว่าคาด แม้อาจจะเป็นการวางเป้าแบบ “อนุรักษ์นิยม”
วอลมาร์ทคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) แบบปรับปรุงทั้งปีว่าจะอยู่ในช่วง 2.50-2.60 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคาดการณ์ของวอลล์สตรีท
อย่างไรก็ตาม ตามปกติแล้ว วอลมาร์ทมักเริ่มปีงบประมาณด้วยแนวโน้มที่ค่อนข้าง “ระมัดระวัง” แต่การที่ราคาหุ้นพุ่งแรงมาตั้งแต่ปี 2023 (เพิ่มขึ้นกว่า 77% ภายใน 12 เดือน หรือเกือบ “เพิ่มเท่าตัว” ตั้งแต่ปลายปี 2023) ทำให้ “พื้นที่” สำหรับข่าวลบยิ่งลดน้อยลง ส่งผลให้หุ้นรูดทันทีที่บริษัทประกาศตัวเลขแนวโน้มไม่สดใส
เจนนิเฟอร์ บาร์ตาชัส นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า วอลมาร์ท “ทำแบบนี้ทุกปี” คือมักตั้งเป้าแบบอนุรักษ์นิยมก่อนแล้วจึงปรับเพิ่มภายหลัง แต่บรรดานักลงทุนคาดหวังสูงขึ้นมากเมื่อเห็นราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในปีที่ผ่านมา
พฤติกรรมผู้บริโภคยังยืดหยุ่น” แต่ความเสี่ยงยังมี
จอห์น เดวิด เรนนีย์ (John David Rainey) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของวอลมาร์ท กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปีนี้บนสมมุติฐานที่ว่า ยังมี “ความไม่แน่นอนในพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก” แต่ย้ำว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยัง “คงที่” และ “ยืนหยัด” เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
เขาเผยอีกด้วยว่า “เดือนมกราคม” กลับเป็นเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของไตรมาสล่าสุด สะท้อนว่าภาพรวมไม่ได้แย่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์นี้ยังไม่ได้รวม “ผลกระทบจากภาษีนำเข้า (Tariffs)” หากมีการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวในอนาคต
ยอดขายสาขาเดิมโตสูงกว่าคาด ดึงดูดกลุ่มรายได้สูง
ในไตรมาสสิ้นสุด 31 ม.ค. วอลมาร์ทรายงานว่า “ยอดขายสาขาเดิมในสหรัฐฯ (ไม่รวมเชื้อเพลิง)” เพิ่มขึ้นประมาณ 4.6% เทียบกับปีก่อน ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
นอกจากนี้บริษัทยังระบุอีกว่า ส่วนแบ่งตลาดเติบโตขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งหันมาจับจ่ายที่วอลมาร์ทมากขึ้น เนื่องจากจุดเด่นเรื่อง “ราคาถูก” และ “บริการอีคอมเมิร์ซ” ที่สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้น
วอลมาร์ทยังสามารถทำกำไรต่อหุ้น (EPS) ปรับปรุงในไตรมาสล่าสุดที่ 0.66 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้เล็กน้อย (0.65 ดอลลาร์)
โดยทางด้าน ดั๊ก แมคมิลลอน (Doug McMillon) ซีอีโอของวอลมาร์ท กล่าวว่าบริษัทยังมี “แรงส่ง” จากการตั้งราคาต่ำ มีสินค้าหลากหลาย และขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มอบทางเลือกจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น จนทำให้ลูกค้ากว่าร้อยละ 30 ยินดีจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเพื่อให้ได้สินค้ารับถึงมือไวขึ้น
คาดยอดขายโต 3%-4% ปีนี้ ชะลอลงจากปีก่อน
แม้ยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมาจะดี แต่สำหรับทั้งปีหน้า วอลมาร์ทคาดว่า “ยอดขายรวมทั่วโลก” จะเติบโตในกรอบ 3%-4% ซึ่งต่ำกว่าปีงบประมาณก่อนหน้าที่โตถึง 5% โดยปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางนโยบาย เช่น ภาษีนำเข้าใหม่ๆ
ยังเป็น “ทางเลือก” ช่วงเศรษฐกิจผันผวน
ด้วยตำแหน่ง “ร้านค้าราคาประหยัด” ที่คุ้นเคยกันดี วอลมาร์ทมักยืนระยะได้ดีในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากผู้คนมักมองหาร้านที่ “คุ้มค่า” เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ยิ่งไปกว่านั้น การมีธุรกิจออนไลน์เสริมช่วยดึงดูดกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่หันมาใช้บริการส่งของถึงบ้านตามไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม การประกาศประมาณการกำไรต่ำกว่าคาดรอบนี้ได้ส่งสัญญาณว่าแม้แต่บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ไม่อาจสามารถ “ต้านทาน” ความผันผวนทั้งหมดจากภาวะเศรษฐกิจและราคาสินค้าได้ตลอดเวลา
“เรามีแรงส่งจากราคาถูก สินค้าหลากหลาย และอีคอมเมิร์ซที่จัดส่งเร็วขึ้น” - ดั๊ก แมคมิลลอน ซีอีโอวอลมาร์ท
สรุป
วอลมาร์ทยังคงแสดงศักยภาพที่แข็งแกร่งจากยอดขายสาขาเดิมและกำไรต่อหุ้นที่เหนือความคาดหมาย แต่ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมามากก่อนหน้านี้ และการคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ “ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด” ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทันที เหตุเพราะกังวลต่อความไม่แน่นอนในพฤติกรรมผู้บริโภค นโยบายภาษี และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ดี วอลมาร์ทยืนยันว่ายังสามารถบริหารต้นทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้ต่อไป ผ่านการคงราคาสินค้าให้เข้าถึงได้ และพัฒนา “ช่องทางออนไลน์” ให้ตอบโจทย์การใช้จ่ายในยุคปัจจุบันค่ะ
ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. https://web.facebook.com/share/p/1BhPEkGZAi/