ห้องเม่าปีกเหล็ก

ผ่า ‘3หุ้น’ กลุ่มบริหารหนี้

โดย poomai
เผยแพร่ :
60 views

ผ่า ‘3หุ้น’ กลุ่มบริหารหนี้ ยก ‘แบม’ เด่นสุดรับ ‘เอ็นพีแอล’ ขาขึ้น

หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้ 3 บริษัท ได้แก่ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) และบมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO) ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่าตลาด โดย ณ วันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาการฟื้นตัวของราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัท นี้ หลังจากที่ดิ่งลงตามตลาดในช่วงเดือน มี.ค. จนฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้นั้น JMT และ CHAYO ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดได้ราว 100% ขณะที่ BAM ฟื้นตัวราว 60%

หากพิจารณาผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ผ่านมา JMT และ CHAYO เป็นสองบริษัทที่กำไรสุทธิเติบโตขึ้น โดย JMT ทำได้ 206.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% ส่วน CHAYO ทำได้ 36.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.6% ส่วน BAM มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ลดลงเหลือ 698.82 ล้านบาท หดตัว 78.5% ซึ่งเป็นผลจากปีก่อนมีลูกหนี้รายใหญ่ปิดบัญชีชำระหนี้ ทำให้มีรายได้ที่จัดเก็บจากลูกหนี้ NPL ที่สูงในปีก่อน

ทั้งนี้ หากมองย้อนไปในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ JMT เป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดมายาวนานที่สุด มีผลประกอบการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างทรงตัว ทำให้การบริหารจัดการหนี้ทำได้ตามปกติ เช่นเดียวกับ CHAYO ที่เข้าจดทะเบียนมาในปี 2561 หลังจากนั้นผลงานก็ดีขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมนี้ในระยะถัดไป กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์( บล.)กสิกรไทย มองว่า ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเป็นช่วงของการ ‘ปั้นพอร์ต’ ซึ่งผู้บริหารของแต่ละบริษัทพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ไตรมาส 4 ปีนี้ จะเห็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ

 

ทั้งนี้ BAM ตั้งเป้าซื้อหนี้เข้ามาในปีนี้ 1-1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ JMT ตั้งเป้าไว้ที่ 4.4-4.5 พันล้านบาท และ CHAYO ตั้งเป้าไว้ที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 บริษัท มีแนวโน้มที่จะทำได้ตามเป้าหรืออาจจะสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ สูงถึง 6.8 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าในปีนี้ ทั้ง 3 บริษัท มีโอกาสที่จะเพิ่มลูกหนี้ขึ้นมารวมกันราว 1.75 หมื่นล้านบาท

“ด้วยโอกาสในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารมากขึ้น จึงมีมุมมองเชิงบวกสำหรับการเข้าลงทุนระยะกลางถึงยาว โดยเป็นการซื้อเพื่อรอกำไรในอนาคตของบริษัทเหล่านี้ ขณะเดียวกันธุรกิจบริหารหนี้นั้นค่อนข้างจะปลอดภัยในช่วงที่ NPL สูงขึ้น และเศรษฐกิจเป็นขาลง เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้บริษัทเก็บหนี้ได้ยาก และเงินทุนจะจม”

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้ในระยะสั้น คือช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นี้ อาจจะยังไม่สดใสนัก เนื่องจากกระแสเงินสดจากการเก็บหนี้จะน้อยลงไป เพราะภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สำหรับการพักชำระหนี้ ก่อนจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้นหลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือ

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากหุ้นทั้ง 3 ตัว มองว่า BAM มีความน่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากหนี้ NPL ที่จะออกมาหลังจากนี้ ส่วนมากเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ซึ่งเป็นหนี้ที่บริษัทมุ่งเน้นที่จะซื้อเข้าพอร์ต และ BAM ยังมีความเสี่ยงน้อยสุด 

รองลงมาคือ CHAYO ซึ่งเน้นหนี้ที่มีหลักประกันเช่นกัน แต่ด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ บริษัทมีขนาดเล็กกว่า จึงเหมาะแก่การลงทุนระยะยาวเป็นหลัก และท้ายสุดคือ JMT จะเน้นลงทุนในหนี้ที่ไม่ค่อยมีหลักประกัน แต่ก็แลกมาด้วยโอกาสในการเติบโตสูง และจ่ายปันผลดี

ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี NPL มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เป็นโอกาสของผู้ประกอบการติดตามหนี้และบริหารสินทรัพย์ จากการเข้าซื้อ NPL ในราคาที่ถูกลง หนุนพอร์ตลูกหนี้ในมือเพิ่มขึ้น และรอรับผลตอบแทนเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

ในส่วนของ BAM มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว บวกจากการได้ปรับเข้าคำนวณในดัชนี FTSE Mid cap รอบใหม่ และได้รับคัดเลือกคำนวณในดัชนี MSCI จึงเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วงที่ผ่านมา

โดยสรุปแล้ว หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เหล่านี้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้าง “สะเทินน้ำสะเทินบก” ในภาพระยะยาว และการปรับฐานแรงๆ ของราคาหุ้นในแต่ละรอบ ก็ดูเหมือนจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อที่น่าสนใจ

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


poomai