จับตา Apple-Sony-Samsung
เสี่ยงเจ็บหนักสุด! จากภาษีสหรัฐฯ
.
แม้ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี Donald Trump จะประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีนำเข้าสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ในปัจจุบันนโยบายดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีที่ไม่ได้ผลิตในประเทศในอัตราสูงถึง 50%
.
โดยในบทความนี้ Wealthy Thai จะพาไปรู้จัก 3 หุ้นที่นักวิเคราะห์ชี้ว่ามีความเสี่ยงต่อภาษีดังกล่าวสูงที่สุด ได้แก่ Apple, Sony และ Samsung ซึ่งล้วนมีฐานการผลิตนอกสหรัฐฯ และพึ่งพารายได้จากตลาดอเมริกาสูง

.
1.Apple Inc. (AAPL)
ข้อเสนอของ Trump ที่จะเก็บภาษี iPhone ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 50% ได้ในวันที่ 1 มิถุนายน เป็นความเสี่ยงหลักของบริษัท เนื่องจากราว 90% ของ iPhone ถูกผลิตในประเทศจีน และสัดส่วนยอดขายกว่า 57% มาจากสหรัฐฯ โดย Rosenblatt Securities ประเมินว่าภาษีดังกล่าวอาจทำให้ราคาของ iPhone เพิ่มขึ้นถึง 43% ทำให้ iPhone 16 Pro Max มีสิทธิ์ราคาพุ่งจาก 1,599 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเกือบ 2,300 ดอลลาร์
.
ในขณะเดียวกัน Apple เองก็คาดว่าภาษีจะเพิ่มต้นทุนของบริษัทราว 900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ นอกจากนี้ Wedbush Securities ก็มองด้วยว่าการที่ AAPL จะย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ นั้นเป็นไปได้ยากเพราะมีต้นทุนสูงมาก
.
ด้วยความเสี่ยงเหล่านี้ โบรกเกอร์หลายแห่งได้ปรับลดราคาเป้าหมายของ AAPL ตัวอย่างเช่น JPMorgan ที่ลดราคาเป้าหมายจาก $250 เหลือ $240 โดยมองว่าประโยชน์จากการเร่งผลิตเพื่อสต็อกสินค้าจะหมดไปในที่สุดหากภาษียังคงอยู่ ขณะที่ Bank of America ปรับลดราคาเป้าหมายจาก $240 เหลือ $235 เนื่องจากความกังวลว่าผลกระทบจากภาษีจะลดกำไรต่อหุ้น (EPS)
.
2.Sony Group Corporation (SONY)
เนื่องจากประมาณ 30% ของยอดขาย SONY มาจากตลาดสหรัฐฯ ทำให้บริษัทมีแนวโน้มรับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่าภาษีจากสหรัฐฯ จะทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงถึง 100 พันล้านเยน (ประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2026
.
ซึ่งหลังประกาศคาดการณ์ดังกล่าว Wolfe Research ได้ปรับลดเรทติ้งหุ้น SONY จาก “Outperform” เป็น “Peer Perform” จากความเสี่ยงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง
.
3.Samsung Electronics Co., Ltd. (SSNLF)
แม้ว่า Samsung จะกระจายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม เกาหลีใต้ และอินเดีย แต่บริษัทยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสินค้าที่ขายในสหรัฐฯ สำหรับสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในประเทศ โดยประมาณ 20% ของรายได้บริษัทมาจากตลาดสหรัฐฯ ด้วยความเสี่ยงดังกล่าว Samsung จึงมีการเร่งการผลิต Galaxy S25 เพื่อเก็บสินค้าไว้ก่อนการเก็บภาษีมีผล
.
ด้านมุมมองนักวิเคราะห์ Goldman Sachs ได้ชี้ว่าบริษัทมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหากภาษีนำเข้าเริ่มบังคับใช้
ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก.. Wealthy Thai