PTG: มองข้ามกำไรสุทธิที่อ่อนแอใน 3Q23
คาดกำไรไตรมาส 3/2566 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี เราคาดว่า PTG จะรายงานกำไรสุทธิที่ 35 ลบ. ลดลง 68% QoQ และ 80% YoY กำไรที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจาก 1) ปริมาณการขายน้ำมันที่ลดลงตามฤดูกาลที่ 8% QoQ เป็น 1,411 ล้านลิตร 2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อลิตรเพิ่มขึ้นจาก 1.61 บาท เป็น 1.76 บาท และ 3) ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันจากราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM)/ลิตรของ PTG จะเพิ่มขึ้น 6% QoQ เป็น 1.94 บาท/ลิตร หากอิงจากประมาณการดังกล่าว คาดว่ากำไรสุทธิช่วง 9 เดือนแรก จะอยู่ที่ 425 ลบ. คิดเป็น 45% ของประมาณการทั้งปี 2566 ของเรา
ผลกระทบ 10 วันจากการลดราคาน้ำมันดีเซล นอกจากอุปสงค์ที่ลดลงตามฤดูกาลในช่วงไตรมาส 3/2566 แล้ว PTG ยังได้รับผลกระทบเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานอีกด้วย โดยรัฐบาลชุดใหม่ประกาศลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา ตามสัญญาว่าจะลดราคาพลังงานให้กับประชาชน ดังนั้นเราคาดว่า PTG จะขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 3 ประมาณ 100 ลบ. สำหรับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกลดลง 6% YoY และ 3% QoQ ในไตรมาส 3/2566 และความต้องการไบโอดีเซลยังคงอ่อนแอต่อเนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาลและนโยบาย B7 เราจึงคาดว่า PTG จะรายงานผลขาดทุนจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปาล์มราว 35 ลบ.
เป้าหมายที่ท้าทาย PTG ตั้งเป้าที่จะขยายธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทยอีก 800 สาขา เป็น 1,200 สาขาในปี 2566 อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นความเป็นไปได้สูงที่บริษัทฯ จะต้องลดเป้าหมายดังกล่าวลง เนื่องจากบริษัทฯ สามารถขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้เพียง 53 แห่งในไตรมาส 3/2566 หรือ 245 แห่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ซึ่งคิดเป็น 30% ของเป้าการขยายสาขา ทั้งนี้ สมมติฐานของเราคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้เพียง 580 สาขาในปี 2566
เราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2566 ของ PTG จะปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจสูงถึง 400-500 ลบ. จากค่าการตลาดน้ำมันที่ฟื้นตัวและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล เราคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันของ PTG จะอยู่ที่ 2 บาท/ลิตร
แนะนำ “ซื้อ” และ TP ที่ 10.20 บาท จากราคาหุ้นที่อยู่ในระดับน่าสนใจและแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นใน Q4/66-Q1/67
