สำรวจปัจจัยพื้นฐาน 5 หุ้น
เหมาะลงทุนแบบ DCA รอตลาดฟื้นตัว

.
ตั้งแต่เปิดต้นปี 2567 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังเคลื่อนไหวไม่ได้ไกลมากนัก โดยปัจจุบันก็ลดลงมาต่ำกว่าระดับ 1,400 จุด แต่ถึงอย่างไรก็ดีนักลงทุนหลายคนก็อาจจะมองหาโอกาสการลงทุนในหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งทางเราก็ได้รวบรวมมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจมาแบ่งปันกันในวันนี้
.
โดยข้อมูลจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า มูลค่าของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถูกใกล้เคียงกับช่วง COVID-19 หรือ มี P/E อยู่ที่ 14 เท่า และ P/BV อยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งแม้ว่าตลาดจะยังมีความเสี่ยงที่เกิดดาวน์ไซด์ค่อนข้างจำกัด
.
แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังรอพัฒนาการหลายอย่าง ทั้งนโยบายการกระตุ้นของภาครัฐและมาตรการที่สอดคล้องกันระหว่างผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงงบไตรมาส 4/66 จึงแนะนำให้เน้น DCA ในหุ้น CPALL, ITC, KKP, SPRC, และ LH
.
สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัวเริ่มกันที่ CPALL บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปี 2567 อยู่ที่1.9 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 15.3% ได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายต่อใบเสร็จที่สูงขึ้นรวมถึงการขยายสาขา, อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นของ CPAXT
.
ดังนั้น จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 74 บาท โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงถูกกดดันจากความกังวลผลการดำเนินงานของ CPAXT ฟื้นตัวช้า แต่คาดผลประกอบการไตรมาส 4/66 ฟื้นตัวแข็งแกร่งบวกกับผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้กำไรไตรมาส 4/66 ของ CPALL โตเด่น และในแง่มูลค่าหุ้นยังไม่แพง
.
ถัดมาที่ ITC บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ได้คาดกําไรปี 2567 จะกลับมาเติบโต 26.5% เป็น 2.88 พันล้านบาท จากแนวโน้มปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น, การเจาะตลาดและขยายฐานลูกค้าใหม่, การเพิ่มสัดส่วนขายในกลุ่ม PREMIUM รวมถึงเพิ่มกําลังการผลิตจากโรงงานใหม่
.
ทั้งนี้ คงแนะนํา Outperform ราคาเป้าหมายที่ 23 บาท จากการฟื้นตัวของกําไรไตรมาส 4/66 และกลับมาเติบโตรอบใหม่ในปี 2567 แต่ด้วยราคาหุ้นเหลือที่เหลืออัพไซด์เพียง 10% จึงแนะนําหาจังหวะลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว จะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม
.
ต่อมา KKP บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดกำไรสุทธิปี 2567 จะอยู่ที่ 7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นปีก่อนหน้า 28% จากฐานต่ำในปีก่อน ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 จะลดลงจากช่วงเดียวกันด้วยผลขาดทุนรถยึดที่คาดว่าจะทรงตัวสูงต่อ แต่จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าด้วยฐานต่ำ
.
อย่างไรก็ดี ยังคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 52 บาท เนื่องจากมีความเสี่ยงจากขาดทุนรถยึดที่มีโอกาสมากกว่าคาดจากการเร่งขายรถมือสองในจำนวนที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้ม NPLs ที่จะสูงขึ้นมากกว่าคาด
.
ด้าน SPRC บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าในปี 2567 บริษัทจะพลิกเป็นกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท เนื่องจากกลับมาใช้งาน SPM ซึ่งจะทำให้ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น 1.1 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และกำไรของธุรกิจเชื้อเพลิง ซึ่งประเมินแบบอนุรักษ์นิยมไว้ที่ 600 ล้านบาทในปี 2567
.
ดังนั้น จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท ด้วยปัจจัยพื้นฐานของการพลิกฟื้นอย่างแข็งแกร่ง จากอัตราการกลั่นน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น, ค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นเพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุง, ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันน่าจะลดลง และกำไรจากธุรกิจเชื้อเพลิง
.
สุดท้าย LH บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ประมาณการกําไรปี 67 ที่ 7.3 พันล้านบาท (ยังไม่รวมขายสินทรัพย์) เติบโตจากปีก่อน 21.8% ตามยอดโอนที่เพิ่มขึ้นและรายได้ค่าเช่าที่เติบโตขึ้น รวมไปถึงรับรู้ส่วนแบ่งกําไรบริษัทร่วมทุนอีก 3.55 พันล้านบาท
.
พร้อมกันนี้ คงแนะนํา “Outperform” ราคาเป้าหมาย 10 บาท จากแรงหนุนของการขายโรงแรมเข้า REIT จะหนุนกําไรสุทธิไตรมาส 4/66 เติบโตทั้งช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อน นําไปสู่ปันผลช่วงครึ่งปีหลังปี 66 ที่หุ้นละ 0.35 บาท หรือ 4.4% และเกือบ 7% ต่อปี