เมื่อเศรษฐกิจจีนไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่หวัง

ใครที่เฝ้ารอการเปิดประเทศของจีนมาอย่างยาวนานเพราะคิดว่าในที่สุดเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง อาจจะต้องประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเมื่อหลังจากเปิดประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว กลับมาพบการเติบโตของจีนนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนเคยคาดไว้ทั้งหมด
แต่กลายเป็นว่าบางภาคส่วนที่เติบโตได้ดี ก็เติบได้ดีจนโดดออกมาจากภาคส่วนอื่น ในขณะที่ภาคส่วนที่เติบโตได้ไม่เท่า ก็กลายเป็นตัวถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ในบทความนี้ Bnomics จะมาสรุปข้อมูลจาก Bloomberg ว่าภาคส่วนไหนของจีนที่ไปได้ และภาคส่วนไหนที่ไปไม่ได้บ้าง
1) การช็อปปิ้งออนไลน์อาจจะโตได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
การค้าปลีกในไตรมาสที่ 2 ของจีนอาจจะเติบได้เกินกว่าที่คาดไว้ว่าจะโตได้ที่ 11.9% โดยเป็นผลหลักๆ มาจากทางฝั่งอีคอมเมิร์ซ
เห็นได้จากตัวเลขการค้าปลีกทางอีคอมเมิร์ซในเดือนเมษายน ที่พุ่งสูงขึ้น 22% จากการกระตุ้นแรงจูงใจในการช็อปปิ้งผ่านทาง Alibaba และ JD.com ส่งผลให้การเติบโตในระหว่างช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนเติบโตได้ดีกว่าที่คาด อยู่ที่ 13% และสูงกว่าการเติบโตของร้านค้าที่มีหน้าร้าน ซึ่งโตที่เพียง 9%
ความแตกต่างนี้เองที่ยิ่งชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการจับจ่ายใช้สอยของคนจีนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว คนเริ่มติดการซื้อของผ่านอีคอมเมิร์ซ หลังจากที่จีนมีมาตรการโควิดเป็นศูนย์มาอย่างยาวนาน
2) คนจีนไปเที่ยวมากขึ้น แต่ใช้จ่ายน้อยลง
นักท่องเที่ยวจีนที่รอคอยวันหยุด หันไปท่องเที่ยวในจีนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ยอดการจับจ่ายใช้สอยระหว่างท่องเที่ยวต่อคนกลับลดลง
ตัวเลขการเดินทางในช่วงวันแรงงานจีนในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับปี 2019 แต่ยอดการจับจ่ายใช้สอยระหว่างท่องเที่ยวนั้นอยู่ที่ระดับแค่ 90% ของระดับก่อนเกิดโควิดเท่านั้น
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ของทาง Bloomberg ยังคาดการณ์ว่ารายได้จากอุตสาหกรรมเกมของมาเก๊าจนสิ้นปี 2023 น่าจะเติบโตได้อยู่ที่ 61% ของระดับเมื่อปี 2019 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของตลาดขนาดใหญ่ อีกทั้งการเติบโตของมาเก๊า ส่วนหนึ่งก็ได้รับอานิสงค์จากนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาสถานที่เที่ยวที่ให้ความบันเทิงใจในราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่น
3) ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการฟื้นตัว
ยอดขายที่อยู่อาศัยโดยเฉลี่ยของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด 10 แห่งของจีน ในเดือนเมษายน ลดลงมา 12% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า จากที่เติบโตได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่ผ่านมา
ส่วนทางนั้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายเล็กลงมาที่อยู่ลำดับ 11 ถึง 25 นั้นอาจจะดูอาการหนักกว่าสักหน่อย เพราะยอดขายในเดือนเมษายน ลดลงไป 18% หลังจากในเดือนเมษายนเติบโตได้ถึง 48% แล้วก็ดูเหมือนแนวโน้มยอดขายจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ไปอีกในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีขนาดใหญ่คิดเป็นกว่า 20% ของมูลค่า GDP ทั้งหมดของจีนเลยทีเดียว
4) การนำเข้าน้ำมันน้อยลง สัญญาณการฟื้นตัวที่อ่อนแอลง
ในเดือนเมษายน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Manager Index : PMI) ลดลงต่อเนื่องจากเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณเตือนถึงความต้องการน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
จากการคาดการของนักวิเคราะห์ Bloomberg จึงคาดว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนในเดือนพฤษภาคม จะอยู่ที่ราวๆ 12.7 ล้านบาร์เรล หรือลดลง 6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ชี้ให้เห็นว่าอุปสงค์ของน้ำมัน จะต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ในอีกหลายเดือนต่อจากนี้
5) นักลงทุนต่างชาติหันไปหาอินเดีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น
กระแสเงินทุนในตลาดเกิดใหม่ ชี้ให้เห็นถึงความเฟื่องฟูของจีนหลังกลับมาเปิดประเทศเริ่มค่อยๆ จางหายไป กระแสเงินทุนไหลออกจากจีนในช่วงเดือนเมษายน ครั้งแรกหลังจากปักกิ่งเลิกใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันกระแสเงินไหลก็ไหลเข้าในอินเดีย และอินโดนีเซีย ตลอดจนญี่ปุ่น
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าในสายตาของนักลงทุน จีนอาจจะต้องใช้นโยบายการเงินเพื่อส่งเสริมการเติบโต รักษาเสถียรภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ และผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ลงบ้าง
ผู้เขียน: ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics