ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 หุ้นร้อนกระแสแรง กับราคาที่มุ่งชนะตลาด

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
52 views

5 หุ้นร้อนกระแสแรง กับราคาที่มุ่งชนะตลาด

สภาวะตลาดหุ้นไทยถือเป็นอีกหนึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากกระแสเม็ดต่างชาติไหลย้อนกลับ เพราะในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐ 10ปี มีทิศทางที่เป็นขาขึ้น หลังจากที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายทั้งของไทย และต่างประเทศมองกันว่า ตลาดหุ้นกำลังเข้าสู่ช่วงของการพักฐาน เพราะที่ผ่านมาได้รับปัจจัยบวกกันไปแบบเต็มอิ่ม หลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการแพทย์ของแต่ละประเทศประกาศชัยชนะในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด19


ดังนั้นจึงทำให้ภาพรวมของตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกชะลอตัวอย่างน่าดีใจ จนทำให้ตลาดหุ้นในหลายๆประเทศกลุ่มมหาอำนาจทางเศรษฐกิจปรับเพิ่มขึ้นแบบผิดหูผิดตาไปจากช่วงที่โควิดกำลังระบาดแบบรุนแรง รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐเองที่ทำ All Time Hight ได้ ทั้งนี้เองเมื่อภาพของการปรับตัวเพิ่มขึ้นเริ่มจะชะลอลง รวมถึงสาเหตุที่หลายฝ่ายกังคงกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศชะลอลดวงเงิน QE เมื่อไหร่ จึงทำให้เม็ดเงินต่างๆยังกล้าๆกลัวๆชะลอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกดีดตัวขึ้นเพื่อสะท้อนทิศทางของเศรษฐกิจโลกไปแล้วว่ากำลังจะกลับมาเติบโต ซึ่งในช่วงกลางสัปดาห์ของเดือนก.พ.64 ราคาน้ำมันเบรนท์ ทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ระดับราคา 60เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงปัจจัยบวกที่มาสนับสนุน


ทั้งนี้การประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในครั้งต่อไป หรือประมาณวันที่ 4 มี.ค.64 สำนักวิจัยหลายแห่งคาดกันว่า ซาอุฯยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตน้ำมันอาจจะยกเลิกการชะลอกำลังการผลิตที่ตัวเองเคยลดไว้ที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน


โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10ปีของสหรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้หุ้นที่เติบโตถูกเทขายอย่างหนัก ซึ่งตลาดหุ้น NASDAQ ร่วงลงกว่า 341 จุด หรือ 2.5%  ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นโดยราคาน้ำมันเบรนท์อยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้นแตะ 62 เหรียยสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าเงินบาทกับดอลล่าแกว่งตัวในกรอบแคบ


รวมถึงมีแรงซื้อทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์หลบภัย ซึ่ง Gold Futures ดันขึ้นพ้นระดับ 1,800 เหรียญสหรัฐได้อีกครั้ง สำหรับประเด็นในประเทศคือการที่ ศบค.คลายล็อก ผับ-บาร์ดื่มสุราได้ยกเว้นที่สมุทรสาคร รวมถึงร้านอาหารให้เปิดไม่เกิน 5 ทุ่มแค่เพียง 14 จังหวัด ส่วนอีก 54 จังหวัดสามารถทำกิจกรรมทุกอย่างได้ตามปกติตั้งแต่ 1 มี.ค.64


สำหรับกลยุทธ์ในจุดนี้คือโมเมนตั้มเป็นลบยิ่งขึ้น หลังจาที่แกว่งไร้ทิศทางตลอดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้สำรองเงินสด 30% และรอก็บหุ้นรอบใหม่ โดยมองว่า SETและ SET50 กำลังขยับเข้าใกล้แนวรับสำคัญ 1,480-1,455 และ 920-905 จุด แนะนำหุ้นร้อนที่กระแสแรง ดังต่อไปนี้ STA,BBL,KBANK , KKP, SCB, COM7, DOHOME, GLOBAL, RS,EPG, SCC, TASCO, BANPU, PTT, PTTEP,BCPG, BGRIM, BPP, EA, GPSC ,AEONTS, JMT, MTC,CBG CPF, RBF, BCH,CHG,IVL,PTTGC,AMATA,CPN,SPALI,WHA, JMART


โดยทีมงาน Wealthy Thai ได้เลือกหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจากทั้งหมดที่ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ระบุไว้ทั้งสิ้น 5 หุ้น ซึ่งหุ้นดังกล่าวขณะนี้กำลังมีประเด็นบวกรองรับ และปัจจัยบวกที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงในแง่ของพื้นฐานบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดี และเป็นหุ้นที่ราคาหุ้นจะสามารถมุ่งเอาชนะตลาดได้รวมปัจจัยบวกต่างๆ ได้แก่ STA,BBL,TASCO,CBGและ IVL



STA กำลังจะปลูกต้นกัญชง

มาเริ่มกันที่ STA ผลประกอบการปี 63 ได้แรงหนุนจาก COVID-19 ช่วยพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร พร้อมทั้งมีเดินหน้าปลูกต้นกัญชงต่อ แม้ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นไปมากแล้วแต่ P/E ยังอยู่ระดับแค่เพียง 7เท่า และยังมีปันผลที่สูงจึงเป็นที่น่าสนใจ


บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด มองว่ากรณีที่ผู้บริหาร STA ออกยืนยันว่าบริษัทฯเตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจเพาะปลูกกัญชงโดยเตรียมดำเนินการขอใบอนุญาตในเดือนมี.ค.64 ซึ่งจะเริ่มต้นเฟสแรกจำนวน 100-200 ไร่ และมีแผนจะขยายเป็น 2,000 ไร่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยจะเพาะปลูกในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยได้แก่จังหวัด น่าน, สกลนคร และชัยภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมในการปลูก อีกทั้งอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนในธุรกิจโรงสกัดซึ่งเป็นธุรกิจกลางน้ำ


ทั้งนี้มีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจใหม่ของบริษัท เนื่องจากธุรกิจกัญชงจะเป็น New S-curve ของบริษัทอย่างชัดเจน โดยกัญชงเป็นพืชที่เติบโตได้เร็ว มี turnover ต่อปีสูง ซึ่งบริษัทประเมินว่าจะสามารถปลูกได้ 2.5-3 crops ต่อปี เบื้องต้นบริษัทประเมินว่ากำไร (ก่อนภาษีเงินได้) จากธุรกิจกัญชงต่อ 1 ไร่ จะอยู่ที่ 1 ล้านบาท/1 crop


โดยได้ทำการประเมินเบื้องต้น ปีแรก 64 STA จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท คิดจากกการปลูกกัญชง 200 ไร่ และ 1 ไร่ ปลูกเพียง 1 ครั้ง (corp) ต่อปี อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าที่จะปลูกทั้งสิ้น 2,000 ไร่ ภายใน 5 ปี และสามารถปลูกได้ 2.5-3 corps ต่อปี จะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 5-6 พันล้านบาทต่อปี เทียบกับผลการดำเนินงานในปี 643 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.5 พันล้านบาท (มาจากส่วนของถุงมือยางประมาณ 7.0 พันล้านบาท) ทั้งนี้บริษัทแจ้งว่าปัจจุบันมีลูกค้าโรงสกัดรองรับการซื้อเมล็ดและดอกกัญชงสำหรับไปสกัดสาร CBD เรียบร้อยแล้ว และบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาดำเนินธุรกิจโรงสกัดด้วยตนเอง ซึ่งเป็นธุรกิจกลางน้ำที่มีมาร์จิ้นสูง


จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายเดิมที่ 41บาท อิง P/E ที่ 9.เท่า (-0.5SD below 5-yr average PER ) โดยเราอยู่ระหว่างปรับประมาณการและราคาเป้าหมาย เนื่องจากเรามองว่าธุรกิจกัญชงเป็นธุรกิจที่มี Potential Growth สูง ซึ่งบริษัทควรที่จะเทรดที่ Premium มากขึ้น



BBL รับรู้รายได้จาก ธ.Permata

ในปี 63 ได้กันสำรองหนี้เสียไว้ค่อนข้างมากแล้ว ทำให้หลายธนาคารมีภาระในการตั้งสำรองลดลง ซึ่งช่วยพลิกกำไรปี 64 ได้ดีกว่าที่คาด และแนกลุ่มที่มีโอกาสจะถูกปรับเพิ่มน้ำหนักขึ้นหากตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนวิธีการคำนวณน้ำหนักดัชนีหุ้นรอบใหม่ โดยอิง Free Float


บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า BBL มียอดสินเชื่อลดลง 1.6%จากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ BBL เป็นการชะลอพอร์ตสินเชื่อตามนโยบายลดความเสี่ยงในประเทศ แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมสินเชื่อต่างประเทศอย่าง จีน เวียดนาม และอินโดนีเซียที่คาดขยับขึ้นได้ดี


สำหรับหุ้นแนะนำ ยังคงเลือก BBL ราคาเป้าหมายที่ 150 บาท เป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เนื่องจากคาดผลดำเนินงานฟื้นตัวเด่นสุดในปี 2564 จากฐานที่ต่ำ และเริ่มรวมงบ Permata เข้ามาเต็มปีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ในแง่ความเสี่ยงยังต่ำกว่าแบงก์ใหญ่อื่นเพราะมีสัดส่วนสินเชื่อภาคท่องเที่ยวค่อนข้างต่ำ และราคาหุ้นยัง Laggard ค่อนข้างมาก ซึ่งซื้อขายด้วย PBV ต่ำเพียง 0.5 เท่า



TASCO ทางยางมะตอยที่ไร้ขวกหนาม

คาดปริมาณความต้องการวัสดุก่อสร้างในประเทศจะฟื้นตัวขึ้นในปี นี้ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ+การกระตุ้นผ่านงบลงทุนภาครัฐ โดยหุ้นหลายตัวได้รับอานิสงส์ทางบวกจากการฟื้นตัวของสเปรดปิ โตรเคมี และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอย่าง


โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองในจุดนี้ว่า TASCO สั่งซื้อน้ำมันดิบแหล่งใหม่ (Alternative crude oil) ในเดือน ม.ค. ก.พ. 64 จากแถบอเมริกาใต้แล้ว 2 ชนิด จำนวน 2 ลำ รวมขนาดทั้งหมด 1.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งให้ Yield เฉลี่ยราว 50 55% (ต่ำกว่าแหล่งเก่าที่ราว 70% แต่ยังอยู่ในกรอบประมาณการ) ทำให้บริษัทมีคลังน้ำมันดิบที่สามารถผลิตได้ถึงเดือน มิ.ย. 64 เป็นอย่างน้อย


ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการประมูลน้ำมันดิบ Cargo ใหม่เพิ่มเติมเพื่อนำมาผสมกับน้ำมันดิบแหล่งเก่า คาดช่วยยืดอายุการใช้งานไปได้ทั้งปี 64 และขยายการเช่า Floating storage จากกลางเดือน ก.พ. 64 เป็น พ.ค. 64 แม้ต้นทุนน้ำมันดิบจากแหล่งใหม่จะสูงกว่าแหล่งเก่าเฉลี่ย 10% แต่ราคาขายมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากการปิดโรงกลั่นของภูมิภาคทำให้ Supply ในตลาดยังคงตึงตัว รวมทั้งดีมานด์ในภูมิภาคเริ่มกลับมาเป็นปกติ และเข้าสู่ช่วง Peak season ตั้งแต่เดือน มี.ค. มิ.ย. 64 หนุนราคาขายยางมะตอยจากราว US$320/ตัน ในเดือน ธ.ค. 63 เป็น $368/ตัน ในปัจจุบัน


นอกจากนี้ บริษัทเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัท TSS (Thai Slurry Seal) จาก 25% เป็น 62% เพื่อต่อยอดธุรกิจ Retail มากขึ้น โดยเน้นขายสินค้าที่มี Value-added และงานก่อสร้างต่างๆ อาทิ โปรเจครันเวย์ที่สุวรรณภูมิ มูลค่าราว 5,000 ล้านบาท ช่วยหนุนปริมาณการจำหน่ายในประเทศ ปรับราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 64 ขึ้นเป็น 24 บาท/หุ้น อิง PER ที่ 15เท่า จาก 13 เท่า เนื่องจากมีความชัดเจนแหล่งน้ำมันดิบใหม่ และแม้ต้นทุนน้ำมันดิบแหล่งใหม่จะสูงกว่าแหล่งเก่าราว 10% แต่ได้ชดเชยจากการปรับกลยุทธ์การขายของบริษัททำให้กระทบมาร์จิ้นอย่างจำกัด



CBG เมื่อน้ำกัญชงกำลังจะดันราคา

เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบ COVID-19 ตลาดยังมีการเติบโตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในเทรนด์สุขภาพโดยกระทรวงสาธารณสุขได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการขอรับการอนุญาตและใช้ต้นกัญชงในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อดำเนินการทางธุรกิจได้แล้ว


บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 64 ที่คาดว่าจะเห็นการกลับมาเติบโตของเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศ การรับรู้รายได้เต็มปีของเครื่องดื่ม C+LOCK ทั้งในประเทศและการส่งออก ตลาดจีนเติบโต ตลาด CLMV กลับมาเติบในอัตราเร่งหลังโรงบรรจุกกระป๋องแล้วเสร็จ


ส่วนรายได้รับจ้างจัดจำหน่ายคาดยังมีสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์รายใหม่เข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่รายเดิมคาดโตต่อหาก COVID-19 ไม่กลับมาระบาดรอบใหม่ รวมถึงการลดต้นทุนการผลิตลัง บรรจุภัณฑ์เอง นอกจากนี้ในช่วงครึ่งหลังปี 64  จะไม่มีค่าใช้จ่ายจากการสนับสนุนทีมฟุตบอลเชลซี คงประมาณการกำไรปี 64 ที่ 4,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.7% จากปีก่อน คงราคาเป้าหมายที่ 152.50 บาท


แม้ราคาหุ้นมี Upside gain จากการเติบโตจากเครื่องดื่มผสมกัญชงที่บริษัทอยู่ระหว่างศึกษา ซึ่งเรามองว่ามีโอกาสมากในการส่งออกไปจีน ดังนั้นหากราคาหุ้นปรับตัวลงมาเพราะแรง Panic sales จากผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดเป็นโอกาสซื้อ ที่แนวรับ 136 บาท



IVL เป็นปีแห่งการฟื้นตัว

ทาง IVL คาดว่าสถานการณ์ทางธุรกิจจะฟื้นตัวได้ดีในปีนี้ได้แก่ ความต้องการ PTA/PET ยังแข็งแกร่ง โดยมีโอกาสเติบโตในกลุ่มประเทศ Emerging Markets ซึ่งการใช้บรรจุภัณฑ์ประเภท PET ยังไม่มาก ประกอบกับมุ่งสร้างความแข็งแกร่งในตลาด rPET (Recycle PET) ซึ่งเติบโตสูง เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของสินค้ากลุ่ม Fibers ซึ่งกลับมาในระดับใกล้เคียงเดิมกับช่วงก่อน COVID-19 แล้ว และราคาน้ำมันดิบที่กลับมายืนเหนือ 50เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจะหนุนให้สเปรดผลิตภัณฑ์อย่าง MEG, MTBE สูงขึ้น และราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น จะหนุนให้มีกำไรจากสต๊อก หลังจากขาดทุนจำนวนมากใน 9 เดือนปี 63


นอกจากการฟื้นตัวในระยะสั้นแล้ว IVL มีมุมมองเชิงบวกอย่างมากในระยะสามปี ข้างหน้า โดยคาดว่า EBITDA จะเติบโตกว่าเท่าตัวจากระดับ 1.15 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 62 เป็น 2.3-2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 66 ด้วยแรงหนุนจากความต้องการสินค้าฟื้นตัวโดยคาดปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นจาก 12.3 ล้านตัน/ปี เป็น 16.7 ล้านตัน/ปี และการมุ่งสู่ผลิตภัณฑ์ HVA ซึ่งให้มาร์จิ้นสูงขึ้น การเร่งสร้างกำไรในโครงการที่เพิ่งทำ M&A (Spindletop) และการลดต้นทุนผ่าน Project Olympus


โดยหาก EBITDA ในระยะสามปี ข้างหน้าเติบโตตามแผน ก็จะช่วยสร้างกระแสเงินสด มากยิ่งขึ้น ซึ่งตามแผน IVL จะไม่มีการทำM&A ขนาดใหญ่ ทำให้เรามองว่าแนวโน้มเงินปันผลจะสูงขึ้นมากจากระดับ0.7 บ./หุ้น ในปี ที่แล้ว

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


หญิงแม้น