10 อันดับมหาเศรษฐีไทย "เจียรวนนท์" รวยอู้ฟู่ 9 แสนล้าน
ฟอร์บส์ จัดอันดับเศรษฐีไทยปีล่าสุดผลปรากฏว่า ทรัพย์สินรวมของ 50 เศรษฐีไทย ลดลงกว่า 28,000 ล้านเหรียญ หรือลดลงประมาณ 9 แสนล้านบาท
ฟอร์บส์ เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งได้เริ่มชะลอตัวแล้วจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ต้องถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บุคคลร่ำรวยที่สุดจากการจัดอันดับของ Forbes ประจำปี 2020 มีทรัพย์สินรวมกันลดลงถึง 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการลดลงถึงร้อยละ 18 เหลือเพียง 1.32 แสนล้านเหรียญ หรือ 4.35 ล้านล้านบาท
ที่ผ่านมาแม้ว่ารัฐบาลจะได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ก็ยังทรุดหนักโดยปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปแล้วเกือบ 1 ใน 3 เทียบจากเดือนเมษายน 2019 เป็นผลให้มหาเศรษฐี 38 คนในทำเนียบมีทรัพย์สินสุทธิลดลง ในจำนวนนี้มี 6 คนที่ความมั่งคั่งลดลงกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3.3 หมื่นล้านบาท
สำหรับ10 อันดับแรกทำเนียบมหาเศรษฐีของไทย ประกอบด้วย
อันดับ 1 พี่น้องเจียรวนนท์ 2.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (9 แสนล้านบาท)
อันดับ 2 เฉลิม อยู่วิทยา 2.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (6.66 แสนล้านบาท)
อันดับ 3 เจริญ สิริวัฒนภักดี 1.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (3.46 แสนล้านบาท)
อันดับ 4 ตระกูลจิราธิวัฒน์ 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (3.13 แสนล้านบาท)
อันดับ 5 สารัชถ์ รัตนาวะดี 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (2.24 แสนล้านบาท )
อันดับ 6 อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.25 แสนล้านบาท)
อันดับ 7 ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.02 แสนล้านบาท)
อันดับ 8 ตระกูลโอสถสภา 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (9.9 หมื่นล้านบาท )
อันดับ 9 วานิช ไชยวรรณ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (9.24 หมื่นล้านบาท)
อันดับ 10 ชูชาติ-ดาวนภา เพชรอำไพ 2.65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (8.74 หมื่นล้านบาท)
อย่างไรก็ตามพี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังครองตำแหน่งอันดับหนึ่ง แม้ว่าทรัพย์สินของพวกเขาจะลดลง 2.2 พันล้านเหรียญ หรือลดลง 7.2 หมื่นล้านบาท จาก 2.95 หมื่นล้านเหรียญ(9.73 แสนล้านบาท) ไปอยู่ที่ 2.73 หมื่นล้านเหรียญ(9แสนล้านบาท) และเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้เข้าซื้อกิจการของเทสโก้ในไทยและมาเลเซียมูลค่า 1.06 หมื่นล้านเหรียญได้สำเร็จ
เฉลิม อยู่วิทยา ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังระดับโลกอย่าง Red Bull ร่วมกับตระกูลของเขา มาในอันดับที่ 2 เขาเป็นหนึ่งในแปดผู้มีรายชื่อในทำเนียบที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น แม้ภาพรวมจะย่ำแย่ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.99 หมื่นล้านเหรียญ(6.56 แสนล้านบาท) เมื่อปีก่อน เป็น 2.02 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้(6.66 แสนล้านบาท)
เจริญ สิริวัฒนภักดี จากเครือไทยเบฟเวอเรจ ขยับขึ้นมาในอันดับที่ 3 ด้วยทรัพย์สิน 1.05 หมื่นล้านเหรียญ(3.46แสนล้านบาท) อย่างไรก็ดีทรัพย์สินสุทธิของเขาลดลงจาก 1.62 หมื่นล้านเหรียญ( 5.34 แสนล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา หรือลดลง 1.88 แสนล้านบาท
ตระกูลจิราธิวัฒน์ หล่นจากอันดับ 2 มาอยู่ในอันดับ 4 ในปีนี้ ด้วยความมั่งคั่งที่ลดลงกว่าครึ่งไปอยู่ที่ 9.5 พันล้านเหรียญ(3.13แสนล้านบาท) พวกเขาเพิ่งนำบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนับเป็นการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวและนักช้อปที่ลดลงอย่างมาก ทำให้ราคาหุ้นของเซ็นทรัล รีเทล ต่ำกว่าราคาไอพีโอถึงร้อยละ 27 โดยตกลงต่อเนื่องตั้งแต่เข้าการซื้อขาย
ส่วนมหาเศรษฐีของไทยอันดับ 5 สารัชถ์ รัตนาวะดี แม้ว่าราคาพลังงานทั่วโลกจะประสบภาวะตกต่ำครั้งรุนแรง มหาเศรษฐีจากวงการพลังงานของไทย 3 ใน 4 คนกลับมีทรัพย์สินงอกเงย ทั้งนี้เป็นผลจากการที่พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ก๊าซธรรมชาติและพลังงานทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการหันไปหาเชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น ในจำนวนนี้ มีสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้ที่ทำเงินเพิ่มขึ้นมากที่สุด ด้วยทรัพย์สินสุทธิ 6.8 พันล้านเหรียญ(2.24 แสนล้านบาท) พุ่งขึ้น 1.6 พันล้านเหรียญ( 5.28 หมื่นล้านบาท) ขณะที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ของเขาเปิดโรงพลังงานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มเติม ตลอดจนเข้าดำเนินการโครงการใหม่ ๆ อาทิ ท่าเรือและถนน
ปีนี้ Forbes กำหนดทรัพย์สินสุทธิขั้นต่ำสำหรับผู้ที่จะมีรายชื่ออยู่ในทำเนียบที่ 460 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจาก 565 ล้านเหรียญ ในปี 2019
การจัดอันดับนี้ใช้ข้อมูลการเงินและการถือครองหุ้นที่ได้รับจากทางครอบครัวและปัจเจกบุคคล ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง อันดับนี้ต่างจากอันดับอภิมหาเศรษฐีตรงที่มีการรวมถึงทรัพย์สินของครอบครัวและทรัพย์สินที่ถือครองโดยสมาชิกครอบครัวหลายรุ่น ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินในบริษัทมหาชนเป็นการคำนวณจากราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 13 มีนาคม ทรัพย์สินในบริษัทที่ถือครองส่วนตัวประเมินค่าโดยเปรียบเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก