ปรับกลยุทธ์ลงทุนฝ่าวิกฤติ
เมื่อตลาดหุ้นไทยเจอมรสุมรอบด้าน

.
ภาวะและความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ได้รับปัจจัยกดดันอย่างทั้งในและภายนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีปรับลดลงกว่า 43 จุด จนมาอยู่ที่ 1,367 จุด (ณ วันที่ 1 ก.พ.67) ซึ่งในแง่ของการลงทุนเองก็ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มที่จะถอดใจด้วยเช่นกัน
.
ดังนั้น ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยพร้อมกับกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านในครั้งนี้
.
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันรอบทิศทาง ไม่ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายทางการเงินโลกที่ผ่อนคลาย อาจช้าลงหลัง Fed ส่งสัญญาณยังไม่ลดดอกเบี้ยเร็วๆนี้ เพราะรอเงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% (เงินเฟ้อสหรัฐล่าสุดเดือน ธ.ค. 3.4%) กดดันตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง
.
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวช้ากว่าที่ตลาดคาด โดย PMI จีน เดือน ม.ค.67 ออกมา 49.2 จุด ต่ำกว่าตลาดคาด 49.3 จุด แม้จะสูงกว่าเดือนก่อน 49 จุด แต่กดดันหุ้นจีนตก -1.4% ในวานนี้ อาจเป็นแรงกดดันมาที่ตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย
.
ด้านการเมืองไทยที่กลับมาร้อนแรง หลังศาล รธน. ชี้ ก้าวไกล “ล้มล้างการปกครอง” และ เรืองไกร สส.พปชร เข้าร้องกกต. ฐานล้มล้างการปกครองโดยจะมีโทษถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางด้านการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปี หากประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมา อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อ SET ให้ฟื้นตัวได้ช้าพร้อมกับฟันด์โฟลว์ชะลอการไหลเข้า
.
รวมไปถึง ภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินของไทยในเดือน ธ.ค.66 และไตรมาส 4/66 ที่ดูไม่ค่อยสดใสอาจเป็นปัจจัยให้ ธปท. ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ไทย ปี 2566-67 ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเห็นการทยอยปรับลดคาดการณ์ลง จากเดิมกำไรไตรมาส 4/66 ที่ 2.92 แสนล้านบาท เป็น 2.63 แสนล้านบาท
.
ทั้งนี้ จากการลดปรับประมาณการลงไม่เพียงแต่ปรับลดของปี 2566 แต่รวมถึงปี 2567 ด้วย โดยล่าสุด EPS 67 จากเหลือ 98.7 บาท/หุ้น ซึ่งยังเห็นดาวน์ไซด์อีกราว 3 – 4% หรือมาอยู่ที่ 96 – 97 บาท/หุ้น ภายใต้ MEYG ที่ระดับ 3.3% อิง P/E 17.24 เท่า จะได้กรอบดัชนีเป้าหมายบริเวณ 1650 –1670 จุด ซึ่งจากภาพปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่กดดันตลาดหุ้นรอบทิศทาง กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน 10 – 20% ของพอร์ต
.
ส่วนหุ้นเด่นให้น้ำหนักไปกับหุ้น 3 ธีม มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว น่าจะ Outperform ตลาดได้ในช่วงนี้ ได้แก่ หุ้นปันผลสูง (หลบความผันผวนต่อตลาดได้ดี) แนะ AP, INTUCH, MAJOR, PTTEP, หุ้นคาดหวังดอกเบี้ยขยับลง (และ Bond Yield 10 ปี สหรัฐลงมาเร็ว ล่าสุดต่ำ 4%) แนะ TIDLOR, SAWAD, TISCO และหุ้นอิงการท่องเที่ยว (ฟรีวีซ่าไทย-จีน ถาวร เริ่มมี.ค. 66 นี้) แนะ AOT, MINT
.
ฟากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้มุมมอง หลังจากงานประชุม FOMC ตลาดหุ้นสหรัฐฯลงแรง จากความผิดหวังของนักลงทุนที่เกิดขึ้นหลังจากนาย Jerome Powell ประธาน Fed ออกมากล่าวว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมนี้
.
แต่เรามองว่าการปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะมาจากเหตุผลอื่นมากกว่า ซึ่งหากดูจากทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรที่ลงแรงโดยเฉพาะรุ่นยาว ประเมินว่าน่าจะมาจากความกังวลเกี่ยวกับปัจจัย “Recession Fear” มากกว่า สะท้อนจากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนที่ออกมาต่ำกว่าคาดจึงเป็นไปได้ว่าปัจจัยดังกล่าว
.
เริ่มทำให้นักลงทุนบางส่วนกลัวว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ในอนาคต อาจมาช้าไป (Behind the curve) จนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะหดตัวหรือถดถอยไปเสียก่อน ดังนั้นหากจะให้ความกลัวเหล่านี้ดับลงในช่วงถัดไป จําเป็นอย่างยิ่งที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงถัดไปจะต้องออกมาอยู่ในโทนที่ดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่
.
โดยหากออกมาเป็นไปตามคาดได้ คิดว่า Reaction ของสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆจะเริ่มพลิกกลับมารีบาวด์ได้อีกครั้ง สอดคล้องกับภาพของผลตอบแทนพันธบัตรและความชัน Yield curve ที่น่าจะกลับมาปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้มองความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ในช่วงถัดไป Fed จะ Take action ที่ ahead หรือ behind the curve ทำให้ความน่าสนใจของทองคํามีมากขึ้น
.
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้ลงแรงเท่ากับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่กลุ่มที่อาจต้องระวังมากขึ้น ก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มส่งออก ที่ยังมีปัจจัยกดดันอื่นรออยู่ ได้แก่ ต้นทุนค่าขนส่งที่ปรับตัวขึ้นจากค่าระวางเรือที่อยู่สูงทั่วโลก แนะนําใช้ความระมัดระวังที่มากขึ้น หรือ Underweight หุ้นกลุ่มนี้ไปก่อน
.
ขณะที่ Global cyclical อย่าง Commodity & Petrochemical ก็ มีโอกาสปรับตัวลงในระยะสั้นเช่นกัน จากความกังวลอุปสงค์โลกต่อสินค้าพลังงานที่ลดลง เป็นปัจจัยกดดันด้าน Sentiment ต่อกลุ่ม Oil & Gas ของไทย หากมองในตลาดหุ้นไทย ยังคงแนะนํา Overweight หุ้นกลุ่ม Domestic ต่อไป อาทิเช่น กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
.
ส่วนธีมการลงทุนที่อาจเริ่มเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้น มองไปยังธีมตราสารหนี้และหุ้นปลอดภัยที่มีคุณลักษณะคล้ายตราสารหนี้ อาทิเช่น REIT / IFF / Utilities แนะนํานักลงทุน Overweight การลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกัน
.
ทั้งนี้ ภายใต้สมมุติฐานยังคงประเมินเช่นเดิมว่า ทั้ง Fed และ BoT จะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินใดๆในช่วงไตรมาสที่ 1 นี้ ดังนั้นยังคงประเมินฐานดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 1410 จุด อิง Forward PE 12.5 เท่า ส่วนกรณีดีสุดและแย่สุด ยังคงอยู่ที่ 1,515 จุด อิง Forward PE 13.4 เท่า และที่ 1,310 จุด อิง Forward PE 11.6 เท่า