“ลดภาษีน้ำมันดีเซล” อีกความเสี่ยงด้านนโยบาย
โดยพื้นฐานยังคงชอบธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน แต่ความซับซ้อนของการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการเก็บภาษีสรรพสามิตอาจทำให้เกิด downside
คงมุมมองว่าบัญชีน้ำมันใกล้กลับมาจุดสมดุลภายใน 2 เดือนข้างหน้า ทำให้สามารถใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกินมาชดเชยการเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มได้
แม้ว่านโยบายภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลจะไม่ชัดเจน แต่เราคาดว่ามีสถานการณ์ที่เป็นไปได้ 3 กรณี แต่เราคิดว่ารัฐบาลจะแบกรับผลกระทบส่วนใหญ่
กลยุทธ์การลงทุน
นโยบายภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลที่ไม่ชัดเจน จากสำนักข่าวหลายแห่งอ้างว่า อธิบดีกรมสรรพสามิตได้กล่าวว่ายังไม่มีนโยบายที่จะกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลในอัตราปกติหลังจากการขยายเวลาการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลที่เกือบ 5 บาท/ลิตร จะหมดอายุในวันที่ 21 ก.ค. 2566 นอกจากนี้ อธิบดียังกล่าวอีกว่าการกลับมาใช้อัตราภาษีปกติจะขึ้นอยู่กับนโยบายของ รมว.คลังของรัฐบาลปัจจุบันหรือรัฐบาลใหม่
แม้จะไม่มีการขยายเวลา แต่ผลกระทบก็ยังไม่แน่นอน หากภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลกลับมาเป็นอัตราปกติที่ 5.99 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.34 บาท/ลิตร ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและค่าการตลาดน้ำมันดีเซลยังคงไม่แน่นอน ทั้งนี้ ผลกระทบจะขึ้นอยู่กับนโยบายในการบริหารเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกินที่จัดเก็บ
บัญชีน้ำมันจะสมดุลในอีก 2 เดือนข้างหน้า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเก็บเงินจากน้ำมันดีเซลได้ 5.43 บาท/ลิตร ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 350 ลบ./วัน ทั้งนี้ ภายในวันที่ 21 ก.ค. 2566 (อีก 53 วันข้างหน้า) เราคาดว่าเงินทุนจะไหลเข้าประมาณ 1.86 หมื่นลบ. ซึ่งหมายความว่าบัญชีน้ำมันจะใกล้เคียงกับยอดดุล (การขาดดุลปัจจุบันอยู่ที่ 2.29 หมื่นลบ. ณ วันที่ 28 พ.ค. 2566)
สามกรณีที่สามารถเป็นไปได้ เราคิดว่ามีความเป็นไปได้ 3 กรณีในการจัดการภาษีสรรพสามิตและการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
โอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จัดเก็บทั้งหมดเพื่อชดเชยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้น กรณีนี้หมายความว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศและค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจะไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันคงเหลือจะเหลือน้อยซึ่งจะทำให้บริหารยากขึ้น
ปรับราคาน้ำมันดีเซลในประเทศให้สูงขึ้นและกดค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันลง เราไม่คาดว่ารัฐมนตรีคลังจากรัฐบาลชุดใหม่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากขัดกับนโยบายหาเสียงระหว่างการเลือกตั้ง
โอนเงินที่จัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนไปชดเชยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบางส่วน และประกาศการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่ เราคาดว่าสถานการณ์นี้จะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและค่าการตลาด
มุมมอง KS
อีกความเสี่ยงด้านนโยบายจะถ่วงความเชื่อมั่นในระยะสั้น แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วเรายังคงชอบธุรกิจขายปลีกน้ำมัน เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะค่อย ๆ ลดลง แต่เราลดมุมมองเชิงรุกในกลุ่มธุรกิจย่อยนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราปกติ
เราคงมุมมองของเราว่ากำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะสั้น และเราไม่คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะกลับมาใช้นโยบายตรึงค่าการตลาดน้ำมันดีเซลที่ 1.4 บาท/ลิตร เนื่องจากเป็นระดับที่ผู้ประกอบการไม่มีกำไร ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีความซับซ้อนของการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต แต่เราคิดว่าค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ดังนั้น เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ OR และ PTG ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เพิ่มค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันเพื่อชดเชยผลกระทบดังกล่าว
