ห้องเม่าปีกเหล็ก

สรุปผลงาน 6 หุ้นปตท. ไตรมาส 3 ใครกำไรโต-ใครขาดทุน

โดย Durant
เผยแพร่ :
88 views

สรุปผลงาน 6 หุ้นปตท. ไตรมาส 3 ใครกำไรโต-ใครขาดทุน

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ทยอยประกาสผลการดำเนินงานในงวดที่ 3/63 เกือบจนจะครบแล้ว พบว่ามีหลักทรัพย์ที่ผลประกอบการยังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 2/63 หรือเติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสนี้อยู่ไม่น้อย ที่ผลประกอบการลดลง หรือจนถึงขั้นขาดทุนสุทธิ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานที่ความต้องการใช้ลดลง ทั้งในส่วนของความต้องการใช้น้ำมันดิบ และความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำต่างๆ ทั้งนี้ Wealthy Thai ได้รวบรวมผลประกอบการไตรมาส3/63 และผลการดำเนินในช่วง 9 เดือนของกลุ่มบริษัทเครือ ปตท.มาให้นักลงทุนได้รับทราบกันว่า ในแต่ละบริษัทนั้นมีผลประกอบการเป็นอย่างไร และได้รับปัจจัยที่เข้ามากระทบส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร รวมถึงแนวโน้มในอนาคตผลการดำเนินงานจะเป็นไปในทิศทางไหนบ้าง

           

โดยผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มปตท. ประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ทั้งนี้พบว่า Wealthy Thai ได้ทำการสำรวจพบว่าทาง IRPC มีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดกว่า 218% เนื่องจากสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้หลังจากที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ ขณะที่ทาง GPSC ถือเป็นบริษัทเดียวในเครือที่มีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน TOP ก็สามารถพลิกมีกำไรสุทธิที่ได้จากที่ในปีก่อนขาดทุน แต่อย่างไรก็ตามพบว่าใน 9 เดือนพลิกขาดทุน 10,558 ล้านบาท ด้าน PTTEP ถึงแม้จะมีปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส2/63 แต่อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับปีก่อนปริมาณขาย และราคาลดลง

 

 

GPSC กำไรเติบโตเด่นสุดในกลุ่ม

            

GPSC มีกำไรสุทธิที่เติบโตมากที่สุด ซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,681 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 188% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 893 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2563 มีกำไรสุทธิ 6,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,134 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 107.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,916 ล้านบาท โดยการเติบโตในช่วงไตรมาส 3/63 มาจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมจะลดลงก็ตาม ส่วนกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น จากการรับรู้รายได้ของบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด (GRP) ภายหลังการเข้าซื้อกิจการเมื่อวันที่ 26 มี.ค.63 แม้กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ลดลง เนื่องจากรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วันลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุง 8.5 วัน ประกอบกับโรงไฟฟ้าห้วยเหาะมีปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลง

               

ขณะที่บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/63 แม้รายได้จากการไฟฟ้าของ IPP จะลดลงตามฤดูกาล และการปรับค่า Ft เดือนก.ย. - ธ.ค.ลง 0.83 สตางค์ต่อหน่วย เป็น -12.43 สตางค์ต่อหน่วย แต่เชื่อว่ากำไรไตรมาส4/63 จะเติบโตมากกว่าปีก่อน โดยได้หนุนจากโรงไฟฟ้า GLOW Phase 5 สามารถกลับมาเดินเครื่องจักรได้ตามปกติ ประกอบกับเริ่มรับรู้รายได้จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า NNERG ส่วนต่อขยาย กำลังผลิตตามการถือหุ้น 18MW  ตั้งแต่ 31 ต.ค. รวมถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าจากภาคอุตสาหกรรม และปิโตรเคมีสูงขึ้น อีกทั้งต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลงจากการปรับสัญญาราคาก๊าซในอ่าวไทย และมีแนวโน้มอยู่ระดับต่ำจนถึงครึ่งแรกของปี 64 ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 64 ที่ 73บาท

 

PTT กำไรลดเหลือ 14,120 ลบ.แต่ยังมากสุดในกลุ่ม

               

โดย PTT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส3/63 อยู่ที่ 14,120 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 20,254 ล้านบาท จากกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่มีผลการดำเนินงานลดลง และมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้สกุลต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินบาทแข็งค่า นอกจากนี้มีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์จำนวน 1,397 ล้านบาท โดยหลักจากธุรกิจถ่านหินที่ลดลงตามราคาถ่านหินที่ลดลง ส่วนรายได้ลดลง จำนวน 154,838 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 28.80% จากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยลดลง ส่วนงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิจำนวน 24,619 ล้านบาท ลดลง 50,886 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 67.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

                   

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส4/63 ซึ่งได้แรงหนุนจากราคาขายเฉลี่ยของธุรกิจก๊าซที่สูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันเตา ราคาน้ำมันปิโตรเคมี ประกอบกับต้นทุนก๊าซจะปรับตัวลดลงอีก โดยผู้บริหารให้ Guidance ราคา Pooled gasไตรมาส4/43 จะลดลง 9% โดยหลักจากแหล่งก๊าซในอ่าวไทย และเมียนมา รวมถึงความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณใช้ไฟฟ้าของภาคธุรกิจ – อุตสาหกรรมที่ทยอยฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ อีกทั้งการใช้กำลังผลิตโรงแยกก๊าซสูงขึ้นเพราะมีเพียงแผนลดการผลิต แต่ไม่มีหยุดการผลิต มองข้ามไปปี 64 คาดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ดี เพราะราคาต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มปรับลดลง สวนทางราคาขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซทำให้คาดปี 64 จะมีกำไร 77,00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 64 ที่ 40บาท

 

 

 

PTTEP ไตรมาส3/63 ปริมาณขายโตดันกำไร 7,202 ลบ.

                 

บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 230 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 7,202 ล้านบาท ลดลง 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 358 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 11,018 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 344,317 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับในไตรมาสก่อนอยู่ที่ 327,004 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เนื่องจากผู้ซื้อเรียกรับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในโครงการบงกชและโครงการคอนแทร็ค 4 สำหรับราคาขายผลิตภัณฑ์ของปตท.สผ.ในไตรมาส 3/2563 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นกว่า 11% มาอยู่ที่ 38.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 34.97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น

                   

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า ไตรมาส 4/63 กำไรอ่อนลงจากไตรมาสก่อน แม้คาดปริมาณขายในจะเพิ่มขึ้นจากการส่งมอบมากขึ้นแต่ราคาขายเฉลี่ยคาดจะลดลงจากความล่าช้า ในการปรับราคาขายตามราคาน้ำมันที่ลดลง อีกทั้งจะมีค่าใช่จ่ายพิเศษเกิด ขึ้นทำให้การดำเนินงานจะอ่อนลง อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานที่ดีกว่าคาดทำให้ทางฝ่ายปรับกำไรสุทธิขึ้นจากเดิมเป็น 24,710ล้านบาท โดยแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐาน 88 บาท

 

PTTGC กำไรวูบ 66% พลิกขาดทุน

                 

ทาง PTTGC รายงานว่าในไตรมาส3/63 บริษัทมีกำไรสุทธิ 908 ล้านบาท ลดลง 66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,663 ล้านบาท โดยธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้ง แต่ช่วงต้น

 

ไตรมาส เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 17% ถึงแม้ว่าโรง LDPE และโรง LLDPE หน่วยที่ 2 มีการปิดซ่อมบำรุงตามแผน ส่งผลให้ปริมาณการขายโพลิเมอร์ลดลงเล็กน้อย ส่วนของธุรกิจโรงกลั่น บริษัทฯ ยังคงการปรับรูปแบบการผลิตโดยปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันอากาศยานและเปลี่ยนไปผลิตเป็นน้ำมันดีเซลตามภาวะความต้องการน้ำมันอากาศยานที่ลดลงตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 1.22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

                   

สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์มีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 176 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน มาอยู่ที่ 78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยได้รับปัจจัยกดดันจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง จากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบ รวมทั้งปริมาณการขายปรับตัวลดลงเล็กน้อยตามแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 ทั้งนี้ บริษัทรับรู้ผลกำไรจากสต็อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 492 ล้านบาท ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 172 ล้านบาท และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 427 ล้านบาท

            

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แนวโน้มไตรมาส4/63 คาดธุรกิจโพลิเมอร์จะดีต่อเนื่อง และธุรกิจอะโรเมติกส์ดีขึ้นเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงฤดูหนาวทำให้ความต้องการซื้อเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังมีการเปิดโรงงาน PTA เพิ่มในเอเชีย และมีการสะสมสต็อกเพิ่ม หลังจากระดับสต็อกผู้ผลิตในอาเซียนต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี ส่วนค่าการกลั่นยังอ่อนแอ ดังนั้นจึงคงคำแนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 44 บาท

 

TOP  9 เดือนพลิกขาดทุน 10,000 ลบ.

              

ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/63 พลิกมีกำไรสุทธิ 715 ล้านบาท  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 683 ล้าน เนื่องจากมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันก่อนภาษี 2,986 ล้านบาท และบันทึกกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปก่อนภาษี 378 ล้านบาท ขณะที่ ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกปี 63 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 10,559 ล้านบาท  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,293 ล้านบาท เนื่องจากมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันก่อนภาษี 9,190 ล้านบาท โดยกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน

             

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด มองว่าแนวโน้มผลประกอบการและการดำเนินงานของ TOP จะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส4/63 เนื่องจากมีรายการพิเศษทางบัญชี 3,700 ล้านบาท หลังภาษีจากการขายหุ้น และในด้านของการดำเนินงานราคาน้ำมันดิบ Murban กลับมามีส่วนลดอีกครั้ง ในขณะที่ค่าการกลั่นกลับมาฟื้นตัวขึ้น แนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 44.00 บาท มีความเสี่ยงเชิงบวกคือ อัตรากำไรที่ดีกว่าคาด และความเสี่ยงเชิงลบคือ อัตราการผลิตที่ลดลง และพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น

 

 

IRPC 9 เดือนขาดทุนเพิ่มขึ้น 1000%

              

รายงานว่าไตรมาส 3/63 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิมี 1,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 1,320 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ มีรายได้จากการขายสุทธิ 37,671 ล้านบาท ลดลง 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุจากราคาขายที่ลดลง 25% และปริมาณขายลดลง 6% มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,937 ล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีลดลงจากผลกระทบโควิด-19 อย่างไรก็ตามบริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ เพิ่มขึ้น 5,103 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 8,707 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 106% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วน 9 เดือน ปี 63 ขาดทุน 7,759ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 1,074% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 660ล้านบาท

             

             

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินว่า ในปี 63 ทาง IRPC จะมีผลขาดทุนสุทธิประมาณ 10,000ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 4/63 อาจจะต้องมีบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับพนักงงานประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว (เป็นโครงการที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายพนักงงานในระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในปี 64 ได้ทันทีราว 500 ล้านบาท) และยังคงประมาณการกำไรปี 64 ที่ 2,100 ล้านบาท ดังนั้นจึงแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 2.50 บาท

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant