ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิกฤติ ‘สังคมสูงวัย’ ฉุดการคลังไทย เสี่ยง ‘ล้มละลาย’

โดย ก กา
เผยแพร่ :
34 views

วิกฤติ ‘สังคมสูงวัย’ ฉุดการคลังไทย เสี่ยง ‘ล้มละลาย’ บั่นทอน ศก.โตต่ำ

By วิชชุลดา ภักดีสุวรรณ

 

  • ชญาวดี ห่วงว่าสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลงจะไม่เพียงพอต่อการแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ
  • กอบศักดิ์ ชี้การให้สวัสดิการโดยไม่มีการปฏิรูปจะทำให้รัฐบาลแบกรับภาระไม่ไหวและนำไปสู่ความล้มเหลวทางการคลังในที่สุด
  • พิพัฒน์ ห่วงว่าจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลงจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาค
  • อมรเทพ ชี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องและยาวนานเหมือนที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น จากปัญหาคนทำงานน้อยลง

 

 

สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ความท้าทายครั้งใหญ่ จาก “สังคมสูงวัย” เมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สัดส่วนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานวัยทำงานลดลง

เสียงสะท้อนจากนักเศรษฐศาสตร์และผู้บริหารภาคการเงินหลายคนต่างชี้ตรงกันว่า เหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ที่อาจฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศ กระทบความสามารถในการแข่งขัน และยังเสี่ยงสร้างภาระต่อการคลัง จนถึงขั้นนำไปสู่จุดล้มละลายหากขาดการปฏิรูปที่จริงจังและทันเวลา 

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์สังคมสูงวัยในปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากเริ่มมีการพูดถึงว่าสังคมกำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง

เมื่อจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ สาเหตุหนึ่งคือผู้สูงวัยมีการจับจ่ายใช้สอยที่น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก

โดยปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่การที่คนสูงวัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่แท้จริงตามหลักวิชาการคือ “สัดส่วน” ของจำนวนคนที่อยู่ในวัยทำงานที่เข้ามาเพื่อ “ชดเชย” และ “ซัพพอร์ต” ผู้สูงวัยนั้น มีเพียงพอหรือไม่ ไทยอาจกำลังเผชิญกับปัญหานี้ โดยที่จำนวนคนที่อยู่ในวัยทำงานอาจไม่มากพอที่จะรองรับภาระดังกล่าวได้

ดังนั้น หากประเทศประสบกับสถานการณ์ที่คนกลุ่มใหญ่เกษียณอายุไปแล้ว แต่ไม่มีคนกลุ่มใหม่เข้ามาทดแทนอย่างเพียงพอ จะเกิดผลกระทบหลายด้าน ทั้งในเรื่องของแรงงานที่หายไป และรายได้ที่อาจหายไป รายได้ที่หายไปนี้ยังส่งผลกระทบต่อรายได้ที่รัฐต้องเข้ามาดูแลด้วย ทำให้เกิดเป็นภาระ ซึ่งถือเป็น “ภาระต่อคนอย่างเรา” ที่ถูกจัดอยู่ในวัยทำงานที่ต้องแบกรับ

“ผู้สูงวัยที่วัยแรงงานต้องแบกรับ หรือซัพพอร์ตนั้น จะมีจำนวนมากขึ้น เนื่องจากจำนวนวัยแรงงานเองมีจำนวนที่น้อยลง ซึ่งปัญหานี้ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว และเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งหากปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขหรือคลี่คลาย อนาคตข้างหน้าอาจทำให้การเติบโตของประเทศถอยลง มันไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น เหมือนถูกถ่วงถูกซ้ำเติม ปัญหานี้ไปกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตให้ได้ตามศักยภาพที่แท้จริง ซึ่งทุกวันนี้คิดว่าประเทศน่าจะไปได้ดีกว่านี้ แต่ปัญหาโครงสร้างเหล่านี้ทำให้การเติบโตยากขึ้น ทำให้ประเทศรู้สึกอึดๆและต้องใช้แรงในการขับเคลื่อนเยอะขึ้น”

 

นางสาวชญาวดี กล่าวว่า แม้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และประเทศอื่นก็เคยผ่านมาก่อนแล้ว หรือหลายประเทศก็กำลังจะก้าวเข้าสู่สถานการณ์เดียวกัน แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่มีการแก้ไข ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดผลกระทบเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้นสถานการณ์นี้เป็น “โจทย์ใหญ่ของประเทศ” ในเวลานี้ เนื่องจากประเทศมีหลายโจทย์ที่ต้องแก้ไข แต่สิ่งที่สามารถทำได้ดีที่สุดคือ การกลับไปที่ประเด็นเรื่อง “รายได้” บางแห่งอาจจะเริ่มมีการขยายอายุเกษียณ หรือแม้แต่คนที่มีอายุเยอะแล้วก็ต้องหาทางสร้างรายได้ต่อไป เพราะต้องยอมรับว่าการเกษียณไปแล้วไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีแรง ยังคงมีแรงทำงานอยู่

 การเพิ่มรายได้ยังเชื่อมโยงกับปัญหาของวัยแรงงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจำนวนมากในวัยนี้ที่มีหนี้สิน ซึ่งเป็นโจทย์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดอยู่แล้ว

  • สังคมสูงวัยไทยอยู่ระดับ “วิกฤติ” จุดเริ่มต้นการล้มละลาย

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า ปัญหาของสังคมสูงวัยในไทยถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติเหมือนที่หลายคนเป็นห่วง และไม่สามารถแก้ได้ง่าย เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนประชากรสูงวัยได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยขณะนี้มีคนในกลุ่มนี้ถึง 20% ของคนในประเทศ หากเทียบกับระบบสังคม และระบบการเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการรองรับสถานการณ์นี้ หากไม่มีการปฏิรูปอย่างยิ่งใหญ่

ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ เมื่อเงินออมไม่พอ รัฐบาลจะแบกรับไม่ไหวไทยจะประสบปัญหาการจัดหาสวัสดิการสำหรับคนเกิดทั้งประเทศ สิ่งที่ตามมาคือ ความล้มเหลวทางการคลัง การเพิ่มสวัสดิการโดยไม่มีการปฏิรูปอย่างรอบด้าน

คือ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มละลาย ดังนั้น การดูแลต้องจำกัด รัฐบาลควรดูแลเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น หากรัฐบาลต้องดูแลทุกอย่างตามที่ถูกเรียกร้องในปัจจุบันระบบก็จะล่มสลาย

ทุกอย่างกำลังเดินไปสู่จุดล่มสลาย หากเรายังให้สวัสดิการแบบนี้โดยไม่ปฏิรูป สุดท้ายรัฐบาลก็จะหมดเงิน รัฐบาลก็จะมาบอกว่า ไม่มีเงินแล้วนี่คือปัญหา เมื่อรัฐบาลไม่สามารถจ่ายได้ คนจะโดนลอยแพ ซึ่งวันนี้ผมก็มองว่ารัฐก็เริ่มไม่สามารถจ่ายตังค์อีกต่อไปได้ สะท้อนความจริงที่ว่า แม้แต่บริษัทที่รักลูกน้อง หากไม่มีรายได้ก็ต้องแยกย้าย ดังนั้น คนในประเทศไม่ควรหวังพึ่งรัฐบาลมากเกินไปเพราะรัฐบาลยากที่จะมีเงินพอในเรื่องนี้” 


 

ดังนั้น โจทย์ใหญ่คือเราต้องคิดว่า ภายใต้ที่เปลี่ยนไป เราจะจัดโครงสร้าง หรือปฏิรูปต่างๆได้อย่างไร ซึ่งปัญหานี้เป็นการปฏิรูปที่สำคัญและใหญ่มากสำหรับประเทศไทย หากแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะในอนาคตที่จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นไม่สามารถมีงานทำที่มั่นคงได้ ปัญหาสังคมสูงวัยก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

  • ห่วงไทยเสียเปรียบแข่งขันภูมิภาค-เร่งปัญหาเหลื่อมล้ำ

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ประเด็นหลักที่น่ากังวลที่สุดคือ การที่จำนวนประชากรในวัยทำงาน ที่กำลังลดลง ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงในหลายมิติ

มิติที่ 1 ตลาดกำลังหดตัว เมื่อจำนวนคนวัยทำงานลดลง ตลาดสินค้าและบริการโดยรวมก็หดตัวตามไปด้วย ในอดีตเมื่อประชากรเพิ่มขึ้น การทำธุรกิจใด ๆ ก็มีโอกาสเติบโตได้ง่าย เพราะจำนวนผู้บริโภคเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

แต่เมื่อจำนวนประชากรทั้งหมดถึงจุดสูงสุด และกำลังจะหดตัวลง การทำธุรกิจใด ๆ ก็จะยากขึ้นทันที ซึ่งการหดตัวของตลาดนำไปสู่การแข่งขันที่สูงมาก เนื่องจากขนาดของตลาดไม่โต แต่ผู้เล่นยังคงเท่าเดิม

ไม่เพียงเท่านั้นจะยิ่งขาดอำนาจในการกำหนดราคา ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีและตลาดเล็ก ผู้ประกอบการไม่สามารถผลักภาระต้นทุน หรือขึ้นราคาได้ 

มิติที่ 2 ฝั่งการผลิตและประสิทธิภาพ หากมองเศรษฐกิจเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ต้องใส่แรงงาน เงินลงทุน และเทคโนโลยีเข้าไป ในอนาคตเครื่องจักรนี้จะมีคนมาทำงานน้อยลงเรื่อย ๆ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เช่น ไม่เพิ่มการลงทุน หรือไม่ทำให้เครื่องจักรมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อัตราการเติบโตของจีดีพีก็จะช้าลงอย่างแน่นอน จากเคยเติบโต 7% มาเหลือ 5-3% และล่าสุด 2%

ดังนั้น ไม่ควรแปลกใจที่ไทยจะไม่สามารถกลับไปเติบโตที่ 5% ได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น จะมีผลกระทบต่อการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอดีต FDI รูปแบบเดิม ๆ ที่เข้ามาในไทยต้องการสองสิ่งคือตลาดที่ใหญ่ขึ้นและแรงงานเยอะ

แต่ปัจจุบันประเทศไทยไม่ตอบโจทย์ทั้งสองเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ทำให้เราไม่สามารถดึงดูด FDI รูปแบบเดิมได้
ผลที่ตามมา หากประเทศไทยไม่เปลี่ยน แปลงใด ๆ จะเกิดผลกระทบทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ
ทั้งต่อสถานะในเวทีโลก ไทยจะเป็นประเทศที่เติบโตช้าลง และได้รับความสนใจจากต่างประเทศน้อยลง เมื่อเศรษฐกิจไทยโตช้า ความสนใจทางเศรษฐกิจก็จะลดลงตามไปด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นเราจะเสียเปรียบในการแข่งขันระดับภูมิภาค ประเทศที่รวยกว่าเรา เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย โตเร็วกว่าเรา และประเทศที่จนกว่าเรา เช่น เวียดนาม ก็โตเร็วกว่าเราเช่นกัน ทำให้เราไม่สามารถตามประเทศที่รวยกว่าทัน และกำลังจะถูกประเทศที่ตามมาทีหลังไล่ทันอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบภายในประเทศ ในยุคทองที่เศรษฐกิจโต 7-10% มีโอกาสมากมาย ทำให้การเลื่อนชั้นทางสังคม และเศรษฐกิจทำได้ไม่ยาก แต่เมื่อเศรษฐกิจไม่โตจะเกิดปัญหาหลายประการ ทั้งการเลื่อนชั้นทางสังคมทำได้ยากขึ้น คนจนจะกลายเป็นชนชั้นกลางได้ยากขึ้น และชนชั้นกลางจะรวยก็ไม่รู้จะรวยได้อย่างไร

สุดท้ายเมื่อรายได้ไม่โต แต่ต้นทุนการใช้ชีวิตแพงขึ้น ทำให้คนเป็นหนี้เยอะขึ้น

สุดท้ายเศรษฐกิจไทยจะไม่ใช่เศรษฐกิจแห่งความหวังหรือโอกาสอีกต่อไป ความสามารถในการเลื่อนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจยากขึ้น และชนชั้นกลางจะถูกเบียดไปเรื่อย ๆ”

สำหรับแนวทางการแก้ไขมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งการดึงดูดแรงงานที่มีทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการเข้ามาของคนต่างชาติที่มีทักษะสูง เพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนใหม่และการจ้างงานใหม่ ๆ ต้องปฏิรูปการศึกษาและยกระดับคุณภาพแรงงาน เมื่อจำนวนแรงงานลดลง แรงงานที่มีอยู่ต้องมี Productivity สูงขึ้น

นอกจากนี้ ต้องเร่งการลงทุนใหม่ หากไม่ลงทุน ประเทศก็จะเหมือนบ้านที่ไม่ได้ดูแลรักษา และความได้เปรียบในอดีตบุญเก่าจะหายไป เราต้องดึงดูดอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาลงทุน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และ Productivity ของแรงงาน

เช่น การทำระบบอัตโนมัติ รวมไปถึงการเพิ่มผลิตภาพโดยรวมและการปรับโครงสร้างภาคเศรษฐกิจ ที่เราต้องเก่งขึ้นในทุกกิจกรรมที่ทำ, แข่งขันได้, เพิ่มมูลค่าเพิ่ม และลดต้นทุน

  • หวั่นไทยซ้ำรอยญี่ปุ่น 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ความน่าห่วงหลักของเศรษฐกิจไทยคือ เติบโตช้าลง และศักยภาพที่ลดลง และประเด็นสังคมสูงวัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่นำไปสู่เศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง กลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการเติบโตที่ช้าลงนี้ คือการที่ประเทศจะมีวัยทำงานน้อยลง

เมื่อสัดส่วนของวัยทำงานลดลง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะโตต่ำลงเรื่อย ๆ ภาพนี้เป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ชัดเจนในประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น

ากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป โดยที่ประชาชนไม่มีการออมและยังคงคาดหวังพึ่งพางบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ อนาคตของเศรษฐกิจไทยก็มีความน่ากังวล เพราะอนาคตศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะโตต่ำลงเรื่อย ๆ และในอนาคต อาจเป็นไปได้ว่าตัวเลขจีดีพีจะไม่ถึง2% จากที่ปัจจุบันคาดการณ์กันไว้ที่ 2-2.5%

ทั้งนี้ แม้ว่าการพึ่งพาภาครัฐจะเป็นสิ่งจำเป็นในบางส่วน เพื่อดูแลสังคมสูงวัย แต่การพึ่งพาเงินโอนหรือเงินบำนาญจากภาครัฐอย่างเดียว อาจเป็นโมเดลที่นำไปสู่ปัญหา และอาจผลักภาระไปสู่ผู้เสียภาษีที่อาจต้องถูกจัดเก็บภาษีที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันสัดส่วนของคนจ่ายภาษีจริงจะมีสัดส่วนที่น้อยลงความไม่สมดุลนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยในที่สุดก็จะหดตัว หรือเติบโตช้าลงในอนาคต

ดังนั้น ภาครัฐยังคงมีความจำเป็นต้องมีแผนเพื่อดูแลและใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อยกว่า ที่เตรียมตัวไม่ทัน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในวัยทำงานและมีความพร้อม การพึ่งพาตนเองถือเป็นหัวใจสำคัญ

ซึ่งมองว่าทางออกเรื่องนี้ คือการที่คนไทยต้องพึ่งพาเอกชน หรือพึ่งพาตัวเราเอง เพราะการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุดคือการเตรียมความพร้อม โดยมุ่งเน้นที่การสะสมทุนของเอกชน ไม่ใช่การหวังพึ่งเงินโอนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว

ทั้ง เร่งการออมในวัยทำงาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ ใช้ตลาดทุนในการขับเคลื่อนเงินออม หรือเป็นแหล่งระดมทุน เพื่อให้เงินทุนเหล่านี้เติบโตขึ้น

ประกอบกับควรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการจ้างงาน ที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและเกิดการสะสมทุนที่ดีขึ้นการเติบโตของเงินทุนนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถโตได้ในอนาคต การดำเนินการเช่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจโตต่ำอย่างที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน

“แม้ศักยภาพการเติบโตจีดีพีไทยจะลดลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่ารายได้ต่อหัวจะต้องเติบโตต่ำตามไปด้วย หากประเทศสามารถออกแบบนโยบายและโครงสร้างต่าง ๆ ได้ดี แม้จำนวนประชากรจะลด

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1200803

 


ก กา