ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตลาดหุ้นหยุดพัก ลุ้นผลประชุมเฟดคืนนี้

โดย หยินหยาง
เผยแพร่ :
54 views

ตลาดหุ้นหยุดพัก ลุ้นผลประชุมเฟดคืนนี้ ขณะที่ยอดค้าปลีกบอกเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่ง | Podcast Available

ตลาดหุ้นที่กำลังร้อนแรงจู่ๆ ก็เหมือนจะแผ่วลงเล็กน้อยนะคะ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมตลาดที่วิ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ดีๆ ถึงต้องมาหยุดพักหายใจกันตอนนี้ คำตอบก็คือ ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่การตัดสินใจครั้งสำคัญของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ค่ะ

เรื่องราวทั้งหมดมันมีอยู่ว่า ตลาดกำลังรอฟังว่าเฟดจะประกาศทิศทางของอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมของตลาดการลงทุนไปอีกหลายเดือนข้างหน้าเลยทีเดียวค่ะ บรรยากาศตอนนี้เลยเหมือนทุกคนกำลังกลั้นหายใจ นักลงทุนรายใหญ่ๆ ต่างชะลอการลงทุนหนักๆ เพื่อรอดูความชัดเจนกันก่อน

 

ข่าวดีที่มาแบบผิดที่ผิดเวลา?

แต่เรื่องที่น่าสนใจและทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก คือข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่เพิ่งประกาศออกมา นั่นคือ "ยอดค้าปลีก" (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ค่ะ ตัวเลขนี้เปรียบเสมือนชีพจรที่บอกว่าคนอเมริกันยังจับจ่ายใช้สอยกันคักแค่ไหน

ปรากฏว่ายอดค้าปลีกเดือนสิงหาคมขยายตัวขึ้นถึง 0.6% ซึ่งเป็นการเติบโตในระดับเดียวกับเดือนกรกฎาคม และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่งและมีความเชื่อมั่นสูง แม้ว่าตลาดแรงงานจะเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงบ้างก็ตาม

คุณ Ellen Zentner จาก Morgan Stanley Wealth Management ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า "ผู้บริโภคชาวอเมริกันดูจะยังอารมณ์ดีอยู่ ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แล้วเฟดจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยอย่างจริงจังแค่ไหน"

พูดง่ายๆ ก็คือ ในขณะที่เฟดกำลังเตรียมจะ "ลด" อัตราดอกเบี้ยเพื่อประคองตลาดแรงงานไม่ให้แย่ลงไปกว่านี้ แต่ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับตะโกนออกมาว่า "เศรษฐกิจยังไหวอยู่นะ!" ความขัดแย้งตรงนี้เองที่ทำให้นักลงทุนต้องกลับมาคิดทบทวนกันใหม่

 

ตลาดคาดหวังอะไรจากเฟด?

ก่อนหน้านี้ ตลาดการเงินได้คาดการณ์หรือที่เรียกกันว่า "Price in" ไปแล้วว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน โดยตลาดให้น้ำหนักไปที่การลดดอกเบี้ย 0.25% (หรือ 25 basis points) ซึ่งแทบจะนอนมาเลยค่ะ

แต่สิ่งที่ตลาดคาดหวังไปไกลกว่านั้น คือสัญญาณการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในอนาคต บางส่วนมองไปถึง 6 ครั้งในอีก 12 เดือนข้างหน้าเลยทีเดียว การคาดการณ์ที่เต็มไปด้วยความหวังนี้เองที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้น เมื่อข้อมูลยอดค้าปลีกออกมาแข็งแกร่งเกินคาด มันจึงไปสั่นคลอนความเชื่อที่ว่าเฟดจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและจริงจัง คุณ David Russell จาก TradeStation กล่าวว่า "ตัวเลขเหล่านี้อาจจะไม่ทำให้เฟดเปลี่ยนใจไม่ลดดอกเบี้ยในวันพรุ่งนี้ แต่ก็อาจจะลดความหวังของคนที่อยากเห็นการลดดอกเบี้ยแรงๆ ในระยะยาวลงได้"

 

แล้วเราควรจับตาดูอะไร?

ในการประชุมของเฟดครั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจะจับตาดู ไม่ใช่แค่การประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% ที่คาดกันไว้อยู่แล้ว แต่คือ 2 สิ่งสำคัญที่จะตามมาค่ะ

 

Dot Plot: นี่คือแผนภาพที่แสดงการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคตของกรรมการเฟดแต่ละคน มันจะบอกใบ้ให้เราเห็นว่า พวกเขามองทิศทางดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าอย่างไร จะมีการลดดอกเบี้ยอีกกี่ครั้งในปีนี้และปีหน้า

 

ถ้อยแถลงของประธานเฟด: คำพูดของคุณเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ในงานแถลงข่าวหลังการประชุม จะถูกนักวิเคราะห์ตีความกันแบบคำต่อคำ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะยังคงลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่ก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น บางกลุ่มมองว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ "Sell the news" คือเมื่อข่าวดีที่ทุกคนคาดหวังได้เกิดขึ้นจริง นักลงทุนบางส่วนอาจจะเทขายทำกำไรออกมา เพราะไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ให้ลุ้นต่อ

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอีกหลายเสียงที่เชื่อมั่นในพื้นฐานของตลาดในระยะยาว คุณ Glen Smith จาก GDS Wealth Management มองว่า ตราบใดที่ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ยังคงแข็งแกร่ง และกระแสความนิยมในเทคโนโลยี AI ยังคงอยู่ ก็ยังไม่มีเหตุผลชัดเจนที่ตลาดจะต้องปรับตัวลงแรงๆ เขายังเสริมอีกว่า "แม้หุ้นจะอยู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณของภาวะฟองสบู่ ตลาดยังมีพื้นที่ให้ไปต่อได้อีก"

 

ภาพรวมการเคลื่อนไหวของตลาด

ในช่วงที่ตลาดกำลังรอคอยนี้ ดัชนีหลักๆ มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 0.1% ส่วนดัชนี Nasdaq 100 ที่วิ่งขึ้นมาติดต่อกัน 9 วัน ก็ต้องหยุดสถิติลง ในขณะที่ตลาดพันธบัตรกลับปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สะท้อนจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี (Yield) ลดลงมาอยู่ที่ 3.51% ซึ่งการที่ Yield ปรับตัวลงมักจะหมายถึงนักลงทุนคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยกำลังจะลดลงนั่นเองค่ะ

 

อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตา: ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดีย

นอกเหนือจากเรื่องของเฟดที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในเวทีโลกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือท่าทีที่ผ่อนคลายลงระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดียค่ะ

ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ซึ่งทรัมป์ระบุว่าเป็น "การพูดคุยที่ยอดเยี่ยม" การพูดคุยครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการลดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียสูงถึง 50% เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีของอินเดีย และเพื่อกดดันให้อินเดียลดการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

แม้ว่าการเจรจาทางการค้าของทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งและมีท่าทีที่เป็นบวก แต่ประเด็นขัดแย้งหลักๆ โดยเฉพาะเรื่องการซื้อพลังงานจากรัสเซียยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจนว่าจะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร ดังนั้น ความคืบหน้าในเรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่นักลงทุนทั่วโลกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ย่อมส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวมเสมอค่ะ

 

ดีลใหญ่สะเทือนวงการเทคฯ: อนาคตของ TikTok ในสหรัฐฯ

อีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันและต้องจับตาไม่แพ้กัน คือเรื่องราวของแอปพลิเคชันยอดฮิตอย่าง TikTok ค่ะ ในที่สุดก็ดูเหมือนจะมีทางออกสำหรับอนาคตของ TikTok ในสหรัฐฯ แล้ว หลังจากที่เผชิญกับแรงกดดันด้านความมั่นคงของชาติมาอย่างยาวนาน

ล่าสุด มีรายงานว่ากลุ่มนักลงทุนซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Oracle Corp., Andreessen Horowitz และ Silver Lake Management ได้บรรลุข้อตกลงในเบื้องต้นเพื่อเข้าซื้อกิจการของ TikTok ในสหรัฐอเมริกาแล้วค่ะ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ขยายเส้นตายเพื่อให้การซื้อขายนี้เสร็จสมบูรณ์ออกไปจนถึงวันที่ 16 ธันวาคม

หัวใจของดีลนี้คือการแก้ปัญหาความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กลัวว่าข้อมูลของผู้ใช้งานชาวอเมริกันอาจถูกส่งกลับไปยังรัฐบาลจีน โดยภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ บริษัทแม่ในจีนอย่าง ByteDance จะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน TikTok ที่ดำเนินงานในสหรัฐฯ ลงให้เหลือน้อยกว่า 20% และที่สำคัญคือ Oracle จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการคลาวด์และดูแลข้อมูลของผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ทั้งหมด เพื่อรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลค่ะ

ดีลนี้ถือเป็นข่าวดีอย่างมาก เพราะหากสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็จะทำให้ TikTok สามารถให้บริการในสหรัฐฯ ต่อไปได้ และยังช่วยลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนลงได้อีกหนึ่งเปราะ ซึ่งหลังจากมีข่าวนี้ออกมา หุ้นของ Oracle ก็ปรับตัวสูงขึ้นทันที สะท้อนว่านักลงทุนขานรับข่าวดีนี้เป็นอย่างมากค่ะ

 

สรุปส่งท้าย

สุดท้ายนี้ สิ่งที่อยากจะฝากเพื่อนๆ นักลงทุนไว้ก็คือ สถานการณ์ตอนนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบกัน ทั้งนโยบายการเงินในประเทศที่รอความชัดเจนจากเฟด, ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และดีลใหญ่ในวงการเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจและมุมมองต่ออนาคตของเฟด จะเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดทิศทางของตลาดไปตลอดช่วงที่เหลือของปี 2025 นี้ค่ะ

ปล. อย่างที่นิคกี้เคยบอกแหละ Nonfarm เป็นสัญญาณเตือน แต่ถ้าคนอเมริกันยังมีงานทำอยู่ (layoff ไม่พุ่ง) ก็ยังคงใช้จ่ายกันอยู่เหมือนเดิม เหมือนที่เห็นจากยอดค้าปลีกเมื่อคืนค่ะ

ปล2. ผลการประชุมเฟดออก 1.30 คืนนี้นะคะ

 

 

ที่มาเนื้อหา…  เพจ Beauty Investor


หยินหยาง