BAY ปีนี้แข็งแกร่งขึ้น
แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในครึ่งหลังของปี 2566 ดูมีความท้าทาย ผู้บริหารคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อในครึ่งหลังของปี 2566 จะยังคงช้าจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า นอกจากนี้ สินเชื่อของบริษัทฯ ญี่ปุ่นและบริษัทฯ ข้ามชาติถูกฉุดในครึ่งแรกของปี 2566 จากการส่งออกที่ซบเซาท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และเราคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี 2666
ส่งผลให้ผู้บริหารยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปี 2566 ที่ 3-5% แม้ว่าสินเชื่อในครึ่งปีแรกของปี 2566 จะเติบโตที่ 3.1% แล้วก็ตาม โดยได้แรงหนุนจากการรวมพอร์ตสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคจากประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม เรายังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2566 ที่ 5%
แนวทางต้นทุนสินเชื่อสำหรับปี 2566 ดูเหมือนว่าจะลดลง แม้ว่าผู้บริหารจะคงเป้าหมาย ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ในปี 2566 ที่ 150-160bps เทียบกับ credit cost ใน ครึ่งแรกของปี 2566 ที่ 134bps เท่านั้น แต่แนวทางของผู้บริหารที่ว่า credit cost ในครึ่งหลังของปี 2566 จะอยู่ในช่วง 135-145bps เราจึงเชื่อว่าต้นทุนเครดิตในปี 2566 อาจต่ำกว่าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า credit cost มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เนื่องจากผู้บริหารมีแผนเพิ่มสินเชื่อภายใต้โครงการปรับโครงสร้างหนี้ และเราเชื่อว่าจะช่วยหนุน credit cost ในปี 2567 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เราคาดว่าการชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตจะสูงขึ้นเป็น 8%/10% ในปี 2567-2568 จาก 5% จะเป็นส่วนผลักดันให้ credit cost สูงขึ้นในปีหน้า สินเชื่อภายใต้โครงการช่วยเหลือของ BAY คิดเป็น 7% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2566
แผนการขยายธุรกิจในภูมิภาค ผู้บริหารเน้นการพัฒนาของ BAY ในการขยายธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคในอาเซียน โดย 5% ของสินเชื่อทั้งหมดมาจากประเทศแถบอาเซียนในครึ่งแรกของปี 2566 จาก 2% ในปี 2561
ในเชิง YTD ได้มีการซื้อและรวมบริษัทสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคในเวียดนามและฟิลิปปินส์ ธุรกิจที่สำคัญในอาเซียน ได้แก่ สินเชื่อรวมกว่า 1 แสนลบ. ส่วนใหญ่ประกอบด้วย Hattha Bank ในกัมพูชา จำนวน 6.4 หมื่นลบ. และ HC Consumer Finance Philippines จำนวน 2.9 หมื่นลบ. ณ ไตรมาส 2/2566
เราปรับเพิ่มกำไรปี 2566 ขึ้น 20% แต่ปรับลดกำไรปี 2567-68 ลง 1%/5% คงคำแนะนำ “ถือ” โดยให้ TP สูงขึ้นเป็น 32.5 บาท จาก 32.0 บาท
