ปัจจุบันการแข่งขันในโลกธุรกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น จากความท้าทายต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจที่ผันผวน และปัญหาโรคระบาดเชื้อกลายพันธุ์อย่างโอมิครอน แต่ก็ยังพอมีข่าวดี ที่นักวิชาการพบว่า ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง และโอมิครอน อาจเป็นจุดจบของโควิด ด้วยการสร้างภูมิแบบธรรมชาติ ทำให้การเข้าสู่ปีใหม่นี้ ถือเป็นการเริ่มต้นของธุรกิจหลายกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก อย่างเช่น Makro และทำให้นักลงทุนต่างชาติ มองหุ้นโอกาสของหุ้นไทย มีหลักเกณฑ์พิจารณา "ซื้อหุ้นไทย" คือ
1. จะสนใจพอร์ตบริษัทที่มีชื่อเสียง
2. เน้นลงทุนหุ้นระยะยาว เช่น 2 ปี ขึ้นไป
3. เน้นหุ้นที่มีจำนวนใหญ่ๆ
4. เน้นเรื่องปริมาณการซื้อขายและความเสี่ยงในเชิงของสภาพคล่อง
หากสังเกตหลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการคลายล็อกดาวน์ พบว่า โอกาสของหลายๆ กลุ่มธุรกิจนั้น ได้กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกถือว่า ดีส่งท้ายปี 2021 เลยก็ว่าได้ เห็นได้จากภาพการจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นก่อนที่จะเข้าถึงเทศกาลแห่งเฉลิมฉลอง ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่ภายในศูนย์การค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนเช่น กลุ่ม Lotus’s เองก็มองเห็นโอกาส และรวมถึงปรับแผนธุรกิจ หลังจบเสนอขาย หุ้น Makro (PO) เดินหน้าทันที ตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ และร่วมมือกลุ่มโลตัสส์พลิกโฉมธุรกิจค้าส่ง (B2B) และค้าปลีก (B2C) รับยุคดิจิทัล ร่วมถึงแผนขับเคลื่อนด้านอื่นๆ เช่น
1. ขยาย Fresh Market ผ่าน แม็คโครและโลตัสส์ เพื่อเป็นผู้นำด้านค้าปลีกและค้าส่งในระดับภูมิภาค
2. ตอบสนองความต้องการทั้ง B2B (MAKRO) และ B2C (Lotus's)
3. ดำเนินงาน ตามยุทธศาสตร์ กลุ่มธุรกิจซีพี ร่วมถึงการเป็นแพลตฟร์อมนำสินค้า SME ไทย สู่ต่างประเทศ
4. ได้ประโยชน์เต็มที่จากการพัฒนา อีคอมเมิร์ซ และ O2O ทั้งในไทยและภูมิภาค
5. เพิ่มศักยภาพการบริหารพื้นที่เช่า เพิ่มกระแสเงินสดและลดหนี้ให้กับ CPALL
สำหรับผลงานของ Makro ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา แม้จะเจอโควิดกระทบหนักกว่าปี 2020 แต่ก็ยังเติบโตถึง 2.7% ปิดยอดรายได้ที่ 1.66 แสนล้านบาท ส่วน EBITDA เติบโตในสัดส่วนเดิมแม้ว่า จะมีค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันให้พนักงาน ลูกค้าปลอดภัย ให้ขนส่งสินค้าไม่สะดุด แต่ก็ยังรักษากำไรสุทธิเติบโตถึง 4% ในปี 2020 งบเสมือนเมื่อรวมโลตัสยอดรายได้เติบโตเกือบ 100% ถือว่าเติบโตมากกว่าก้าวกระโดด เติบโตจาก 2.18 แสนล้านบาทเติบโตเป็นเกือบ 4.3 แสนล้านบาท เติบโตมากกว่าก้าวกระโดด ปี 2021 ผลกระทบโควิดรุนแรง
การเติบโตหลังจากรวมกับโลตัสไม่ได้แตกต่างจากเดิม เพราะ โลตัสเป็นธุรกิจที่ทำกำไรขั้นต้นได้ดีเพราะมีสินค้าหลากหลายกว่าแม็คโคร เมื่อรวมโลตัส EBITDA เติบโตมากกว่าเดิมมากกว่า 2 เท่าจาก 1.2 หมื่นล้านบาทเป็น 3.4 หมื่นล้านบาท อนาคตถือเป็นการรวมตัวของสองตัวที่แข็งแกร่งทั้งคู่ ความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินที่ไม่ได้แตกต่างกันเลย ...... จึงเป็นเหตุผลให้ "หุ้น Makro" ยังคงเป็นหุ้นที่ใครๆ ยังแนะนำอยู่ นั่นเอง
------------------------------------------------------------------