OR เดินหน้าเจรจาซื้อกิจการ

นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการขยายธุรกิจในปีนี้ตามแผนเดิม ยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในรูปแบบ Inorganic โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อกิจการหลายดีล ทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม(F&B) และ non-F&B

.

โดยเงินที่ระดมได้จาก IPO จำนวน 53,000 ล้านบาท จะทยอยลงทุนตลอด 5 ปี ตามแผนธุรกิจ ซึ่งเพิ่งลงทุนได้ปีเดียว ส่วนเงินที่เหลือยังไม่ได้ใช้ลงทุน จะนำไปฝากเงินทุนระยะสั้น ส่วนเงินลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ๆ เนื่องจากบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ (EBITDA) ปีละ 20,000 ล้านบาท จะนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ ในเวนเจอร์แคป อินโนเวชั่น สตาร์ทอัพ รวมทั้งการซื้อกิจการ (M&A) จะมาจากส่วนนี้เป็นหลัก

.

"ดีลที่จะเกิดขึ้น มีดีลที่คุยอยู่เยอะพอควร เพราะเราต้องการเติมเต็มในส่วนของค้าปลีกอื่นที่ไม่ใช่น้ำมัน ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจ F&B แต่รีเทลต่างๆ ไม่ได้จำกัดแค่ F&B มีเรื่องอื่นๆ ด้วยที่จะตอบโจทย์ไลฟสไตล์ที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต ปีนี้ก็น่าจะประกาศดีลได้บ้าง ซึ่งเราพยายามจะมีคอนเทนต์อื่นที่ไม่ใช่พลังงานเติมเข้ามา" นายพิจินต์กล่าว

.

สำหรับยอดขายน้ำมันในเดือนเม.ย. 65 ทั้งน้ำมันดีเซลและเบนซิน ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ น้ำมันอากาศยาน จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้น ดังนั้นจากปริมาณขายที่หายไป 70% ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เชื่อว่าไตรมาส 2-3-4 ถ้าไม่พบการระบาดรอบใหม่ ปริมาณขายน้ำมันอากาศยานน่าจะกลับมา

.

ดังนั้นในไตรมาส 2/65 คาดค่าการตลาด( Marketing Margin) ใกล้เคียงไตรมาส 1/65 จากรัฐช่วยลดเก็บภาษีน้ำมันดีเซล ช่วยให้ผู้ประกอบการลดแรงกดดันไปมาก ประกอบกับบริษัทมีการบริหารต้นทุนได้ดีด้วย เชื่อว่ายังสามารถรักษามาร์จิ้นได้

.

ทั้งนี้ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 65 อยู่ที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนปี 66 ปรับลงมาที่ระดับ 92.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากเศรษฐกิจจีนและสถานการณ์ยูเครนน่าจะดีขึ้นทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล