ตลาดทุนไทย‘สาหัส’ผวาทรัมป์ โบรกชี้กังวลประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ดัชนีผันผวนยาว
ตลาดทุนไทย‘สาหัส’ผวาทรัมป์ โบรกชี้กังวลประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ดัชนีผันผวนยาว “ไทยบีเอ็มเอ” พบบริษัทถูกดาวน์เกรดหุ้นกู้ลงเป็น 46 บริษัท เหตุธุรกิจแย่
“หุ้นไทย” วานนี้ร่วงแรงปิดตลาด 24 จุด อยู่ที่ 1,362.97 จุด ดิ่งหนักตามภูมิภาค “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” ชี้ตลาดกังวล “ทรัมป์” มีแผนประกาศภาวะ “ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระดับชาติ” เพื่อตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ห่วงปมขาดความเชื่อมั่นผู้บริหารนำหุ้นวางมาร์จิน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล คาดแรงเทขายหุ้นใหญ่ผลกระทบ GMT “ไทยบีเอ็มเอ” ชี้ปีก่อนพบบริษัทถูกดาวน์เกรดหุ้นกู้ 46 บริษัท เหตุธุรกิจแย่

ความเคลื่อนไหว “ดัชนีหุ้นไทย” วานนี้ (9 ม.ค.2568) ระส่ำอีกครั้่ง ดิ่งแรงทำจุดต่ำสุดของวันที่ 27.45 จุด ก่อนมาปิดตลาด 24.75 จุด อยู่ที่ 1,362.97 จุด หรือ 1.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) 46,868.24 ล้านบาท ขณะที่ “นักลงทุนต่างประเทศ” (ต่างชาติ) ขายสุทธิจำนวน 2,215.83 ล้านบาท และนักลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขายสุทธิ 1,273.31 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของการลงทุนโลกตลาดปรับตัวลดลงจากความกังวลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ เนื่องจากทรัมป์มีโอกาสประกาศภาวะฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นเหตุผลใช้ในการออกกฎหมายเก็บภาษีจากประเทศทั่วโลก เพื่อให้ค้าขายกับสหรัฐได้ จึงกดดันเอเชียโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ในฝั่งบ้านเราถือว่า ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงกว่าตลาดภูมิภาค โดยประเมินมาจาก นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นจากจำนวนหุ้นที่มีการวางมาร์จินในหลักประกันสูง ๆ ซึ่ง ณ ขณะนี้ หุ้นที่มีการวางมาร์จินมากกว่า 20% ของทุนจดทะเบียนมีประมาณ 23 หลักทรัพย์ และที่มากกว่า 15% มีประมาณ 50 หลักทรัพย์ ซึ่งมีมาร์จินสูงและตลาดไม่ดีอาจจะมีทริกเกอร์ให้เกิดแรงขายหนัก ๆ ลงมาตามกันจนเกิดปฎิกิริยาที่เป็นลูกโซ่ได้
รวมถึงกรณีการกู้ยืมนอกตลาดของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรับมือได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากว่าหลายครั้งไม่มีสัญญาณบ่งชี้ต่าง ๆ ได้ เพราะไม่สามารถหาข้อมูลได้ ซึ่งที่ผ่านมาจะมีหุ้นหลายตัว
ดังนั้นจึงกลายเป็นว่านักลงทุนมีความกังวลและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และความกังวลการที่บริษัทหลักทรัพย์มีความเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยมาร์จิน หลังจากที่ ก.ล.ต.รับฟังความเห็นในการปรับปรุงเกณฑ์ Margin loan ใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหลัก ๆ ไม่ได้มีการนำไปซื้อขายปกติสักเท่าไร แต่บนหลักเกณฑ์สำคัญที่กำลังอยู่ในการรับฟังความคิดเห็นจะเกี่ยวกับการปล่อยมาร์จินให้หุ้น IPO
ทั้งนี้อาจจะไม่ให้มีการปล่อยมาร์จินหุ้น IPO ช่วง 14 วันแรก เพราะถือว่ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะประเมินความเสี่ยง เป็นต้น แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อหุ้น IPO บ้าง แต่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการทำราคา หรือการเก็งกำไรที่ไม่สมเหตุสมผลไปด้วย ต้องเป็นเงินจริงเท่านั้น ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องที่ดี และยังเป็นการป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจไปด้วย
นักลงทุนเสียศรัทธา-กังวลนำหุ้นวางมาร์จิน
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการปล่อยกู้ที่กระจุกตัว และกู้ไม่ถูกวัตถุประสงค์ เพราะ Margin loan คือการปล่อยกู้หลักเพื่อซื้อหลักทรัพย์ แต่ช่วงที่ผ่านมา ผู้บริหารมองว่า หุ้นเป็นสินทรัพย์ส่วนตัวและนำไปวางมาร์จิน และนำเงินที่ได้ไปทำอย่างอื่น ๆ ในหลักการสามารถทำได้ แต่นั่นไม่ใช่ Margin loan
อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าว อาจทำให้นักลทุนไม่เข้าใจ และคิดว่าจะเป็นการลดสภาพคล่องที่อยู่ในตลาด จนมองเป็นลบและเป็นสัญญาณที่ไม่ดีหรือไม่ แต่แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ต่อตลาดในระยะยาว เพราะปีนี้จะเห็นได้ว่า มีผู้บริหารนำหุ้นไปจำนำหรือไปผ่านกระบวนการวางมาร์จิน และหุ้นดิ่งไปหลายฟลอร์
“ในช่วงนี้นักลงทุนเสียศรัทธาการลงทุนไปค่อนข้างเยอะ เพราะหุ้นหลายตัวที่ลงไม่ได้ลงเพราะผลประกอบการ เพราะผลประกอบการยังมีแนวโน้มที่ดี แต่พอทุกคนกลัวความเสี่ยงก็ขาย ก็เป็นการสร้างแรงกดดันในกับคนที่ถือ จึงเป็นการขายลดน้ำหนักตามกันลงมา"
ดังนั้นนักลงทุนอาจต้องดูสถานการณ์การลงทุนของตัวเองว่าลงทุนเพราะอะไร หากลงทุนเก็งกำไรที่เกี่ยวกับราคาหลักทรัพย์อย่างเดียวที่ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการ แปลว่าต้องเก็งตามสถานการณ์ หรืออิงกับราคาหลักทรัพย์เป้นหลัก แต่ถ้านักลงทุนเป็นสไสต์ดูในเชิงผลประกอบการ ต้องดูความระมัดระวังขึ้นจากสถานการณ์ที่ตลาดขาดความเชื่อมั่นของตลาดที่นักลงทุนให้พรีเมียมของการลงทุนลดน้อยลง
รวมทั้งจากสถานการณ์ดังกล่าวที่ นักลงทุนมีความกังวลอาจจะต้องกลับมาทบทวนดูว่า หุ้นที่มีหรืออยู่ในสถานะที่ยังขาดทุนอยู่มีการฟื้นตัวได้หรือไม่ ซึ่งนักลงทุนพิจารณาถึงผลประกอบการ
ขณะที่ความเสี่ยงที่ตลาดจะมีปรับลดพีอีหุ้นกลุ่มนั้นลงมีหรือไม่ แม้ผลประกอบการโตและพีอ๊ก็สามารถปรับลดลงมาได้ และต้องพิจารณาผลตอบแทนในการลงทุนหลายมิติให้มากขึ้น เช่นในภาวะที่ตลาดแย่ ๆ ต้องดูว่าหุ้นที่มีปันผลสูงเกิน 4-5% จะเป็นการช่วยรองรับดาวน์ไซด์ของหุ้นนั้นได้
ภาพรวมสงครามการค้าอาจจะรุนแรงขึ้น
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพของสงครามการค้าแนวโน้มดูจะมีความเสี่ยงรุนแรงขึ้น เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาพูดล่าสุดที่มีข่าวลือว่าสงครามการค้าจะไม่รุนแรงนั้นไม่จริง
รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความเสี่ยงหากเป็นในทิศทางที่สงครามการค้ารุนแรง ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอาจจะลดลงช้ากว่าคาดการณ์ไว้ และปัจจัยในประเทศภาพเทรนด์กำไรค่อนข้างมีดาวน์ไซด์ หากไปดูทิศทางการปรับกำไรในปีที่ผ่านมาลบ 11% ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดนี้จึงเป็นแรงกดดันในสินทรัพย์เสี่ยง
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่ม Defensive Stocks หุ้นผันผวนต่ำ และหุ้นที่ปันผลสูง เช่นกลุ่มแบงก์ แต่นักลงทุนจะคาดหวังว่าจะค้ำดัชนีหุ้นไทยได้ตลอดหรือไม่นั้น มองว่า คงไม่ได้ แต่ทิศทางอาจจะปรับตัวลง ซึ่งนักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวัง
หุ้นโดนผลกระทบราคาน้ำมันร่วงฉุดตลาด
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ข้อมูลเสริมว่า หุ้นที่ปรับตัวลงแรงวานนี้ (9 ม.ค.68) เป็นกลุ่มพลังงาน สาเหตุเกิดจากน้ำมันปรับตัวลง PTTEP IVL PTT BCP
รวมถึงกลุ่มกัลฟ์ และกลุ่มที่โดนภาษี Global Minimum Tax เช่น ICT ที่มีการปรับตัวลงมาแรงมา 2 วันติด รวมถึงหุ้น DELTA ที่ปรับตัวลงมาแรงในช่วงแรก ๆ ที่ต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 15%
“กลุ่มที่โดน Global Minimum Tax หุ้น ICT DELTA รวมถึง PTTEP IVL PTT BCP SCC ที่โดนแต่อาจจะโดนน้อยกว่า DELTA”
ทั้งนี้แนวรับ SET วันนี้และทั้งไตรมาส 1/68 อยู่ในกรอบ 1350-1420 จุด SET ยังปรับขึ้นไม่ได้ เนื่องจากยังกังวลนโยบายทรัมป์ โดยทางเลือกของนักลงทุนไตรมาส 1/68 ในมุมของเรา ณ จุดนี้ แค่เข้าไปเทรดดิ้งหมุนรอบไปเรื่อย ๆ ได้ อย่างหุ้น GULF DELTA ADVANC เพราะถ้าลงทุนขณะนี้หุ้นยังไม่ไหนให้รอไปลงทุนในครึ่งปีหลัง
“ไทยบีเอ็มเอ” ชี้บริษัทถูกลดเครดิตหุ้นกู้เพิ่ม
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2567 เท่ากับ 17.1 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6% จากปีที่แล้ว จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเป็นสำคัญ ในส่วนของการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) มีมูลค่า 913,141 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อนหน้า จากที่ทำได้ทะลุ 1 ล้านล้านบาท และคาดว่าปีนี้ ยอดการออกหุ้นกู้ใหม่จะอยู่ที่ 850,000-900,000 ล้านบาท
โดยมองว่าปี 2568 ตลาดตราสารหนี้ยังมีทั้งปัจจัยลบและปัจจัยบวก โดยเชื่อว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่เครดิตเรตติ้งค่อนข้างดี ยังมีการออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ยังคงเห็นการเข้ามาระดมทุนในตลาดบอร์ดต่อเนื่อง และหากดูตลาดบอนด์ก็น่าสนใจ จากทิศทางดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้บอนด์ยิลด์ปรับลดลงด้วย ทำให้บอนด์น่าสนใจมากขึ้น
“เรายังเห็นดีมานด์ทั้งฝั่งผู้ออก และซื้อซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่ถามว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ คงมองใกล้เคียงเดิมในปีก่อนที่ 8.5-9 แสนล้านบาท”
ขณะที่มีบริษัทจำนวนหนึ่งที่กลับถูกปรับลดเครดิตหุ้นกู้ลง (Downgrade) เช่น จากระดับ BBB+ เป็นต่ำกว่าระดับดังกล่าวหลายบริษัท โดยรวมบริษัทที่ถูกปรับลดเครดิตเพิ่มขึ้น 11 บริษัทเป็น 46 บริษัท จากปีก่อนหน้าที่มีเพียง 35 บริษัทเท่านั้น เหล่านี้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ ทำให้ธุรกิจหลายแห่งได้รับผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตามอีกด้านพบว่ามี 13 บริษัท ได้รับการปรับเครดิตเรตติ้งเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หากดูทิศทางการออกหุ้นกู้ในช่วงปีที่ผ่านมาที่ลดลงหลักๆ มาจากกลุ่มไฮยีลด์ (ไม่มีอันดับความน่าเชื่อถือ) หรือเรตติ้งต่ำ ที่มีมูลค่าการออกหุ้นกู้ลดลงถึง 50% มาอยู่เพียง 5.5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่กลุ่มไฮยิลด์ออกหุ้นกู้สูงถึง 1 แสนล้านบาท ต่างกับอินเวสเม้นท์เกรส ที่มูลค่าการออกหุ้นกู้ลดลงเพียง 10% เท่านั้น
“เฟทโก้” มองหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยภายในงาน “โครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 1/68 ” ว่า ตลาดหุ้นไทยอาจผันผวนในระยะสั้น เพราะผู้ลงทุนกังวลใจใน 2 เรื่อง ได้แก่
1.นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ และ 2.การเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) จึงอยากให้เน้นดูปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1161368