ส่องงบ Q2/63 “TOP3 หุ้นใหญ่โรงไฟฟ้า” GULF-GPSC ท็อปฟอร์ม คว้ากำไรสุดปัง
แน่นอนว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเป็นไตรมาสที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ Covid-19 มากที่สุด แม้แต่หุ้นใหญ่ๆ ที่ได้รับอานิสงส์จาก Covid-19 บางตัวก็มีกำไรสุทธิลดลงอย่างน่าตกใจ แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งที่นักวิเคราะห์เชียร์มาตลอด นั่นคือ “หุ้นโรงไฟฟ้า”
เพราะฉะนั้นวันนี้มาดูผลประกอบการ หุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 3 ลำดับแรก ซึ่งประกอบด้วยหุ้น GULF ,GPSC และ EA ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแค็ป) สูงสุดในกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า ว่าผลงานของหุ้นทั้ง 3 ตัวเป็นอย่างไรบ้าง และมีแนวโน้มการเติบโตในครึ่งปีหลังอย่างไร
เริ่มจากบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ซึ่งเป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแค็ป) ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้น SET รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 7,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) จากการรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการในกลุ่ม GMP เทียบกับ 11 โครงการในไตรมาส 2/2562 โดยทั้ง 12 โครงการสามารถขายไฟฟ้าให้แก่กฟผ.ได้สูงขึ้นถึง 14.1% YoY
นอกจากนี้ฐานลูกค้าอุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้น YoY ทั้งจากลูกค้าเดิมที่มีการขยายธุรกิจและจำนวนลูกค้าใหม่ แม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาส 2/2563 จะลดลง เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ก็ตาม แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.63 เป็นต้นมา
ผลงาน GULF ดีกว่าตลาดคาดการณ์ คว้ากำไรสุทธิ 1,900 ลบ. +17% YoY
สำหรับหุ้น GULF นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าได้ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” (เดิมถือ) และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 37.00 บาท (เดิม 34.50 บาท) เพื่อสะท้อนโครงการใหม่เข้ามาในประมาณการ ทั้งนี้บริษัทประกาศงบไตรมาส 2/2563 กำไรสุทธิ 1,900 ล้านบาท (+17% YoY และขาดทุน 413 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2563) ดีกว่าตลาดคาดราว 38%
อย่างไรก็ตามหากตัด fx gain ออก กำไรปกติอยู่ที่ 989 ล้านบาท (ทรงตัว YoY, +7% QoQ) โดย YoY แม้มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเติมแต่ถูกภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น +32% YoY (เงินกู้ยืมเพิ่มพัฒนาโครงการ GSRC และ GPD) ทำให้ผลประกอบการทำได้เพียงทรงตัว ส่วน QoQ ได้ช่วง seasonality ช่วยหนุนค่าความพร้อมจ่าย ทั้งนี้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2563-2564 ขึ้นจากเดิม +27% และ +32% ตามลำดับ สะท้อนโครงการซึ่ง GULF ทยอยปิดดีลได้จนถึงปัจจุบันเข้ามาในสมมติฐานประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้าขนาด 1.2GW 2.การเข้าถือหุ้น INTUCH 5% และ 3.การเพิ่มทุนที่อัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ที่ราคาใช้สิทธิ 30.00 บาท
ราคาหุ้น GULF ยังน่าลงทุนในสายตานักวิเคราะห์
ราคาหุ้น underperform SET ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คาดมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ดีขึ้นทำให้หุ้น Defensive Stock ถูกตลาดลดน้ำหนักลง อย่างไรก็ตามเราประเมินราคาหุ้นในระยะต่อไปมีโอกาสกลับมา Outperform ตลาดได้ โดย Key Catalyst อยู่ที่ประเด็นการเพิ่มทุนทำให้บริษัทมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 3.0-3.5GW (เพิ่มจาก secured projects ในมืออีกราว 40-45%) ด้วย timing ในการเพิ่มทุนที่เกิดขึ้น และอิง aggressive investment ที่บริษัทดำเนินการอยู่ เราคาดว่ามีโอกาสสูงที่บริษัทจะประกาศปิดดีลโครงการใหม่เพิ่มเติมได้ในเวลาอันใกล้
กำไรสุทธิ GPSC สูสีหุ้นใหญ่ GULF จากกำไรขั้นต้น SPP เพิ่มขึ้น
ขณะที่บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC รายงานว่า รายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 18,138 ล้านบาท ลดลง 9% YoY และ 1% QoQ ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทที่ไม่รวมค่าตัดจำหน่ายตัด (Adjusted Net Income) ในไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 2,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57%YoY เนื่องจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น 278 ล้านบาท จากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวลดลง รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมของศูนย์ผลิตสาธารณูปการ ระยอง มีปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำมากขึ้น ถึงแม้ว่าลูกค้าอุตสาหกรรมของโรงไฟฟ้า SPP ของ GLOW มีปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำลดลงก็ตาม
โดยมุมมองนักวิเคราะห์ บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้น GPSC (ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 82.40 บาท) จากการที่ GPSC รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 1,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%YoY และเพิ่มขึ้น 20%QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษและค่าใช้จ่าย Amortization GLOW กำไรหลักจะเท่ากับ 2,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% YoY และเพิ่มขึ้น 16% QoQ
ทั้งนี้ GPSC ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ค่อนข้างจำกัดในลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมี ขณะที่ลูกค้ากลุ่มยานยนต์ที่กระทบมีสัดส่วนเพียงแค่ 2% ของรายได้ลูกค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด อย่างไรก็ตามกำไรขั้นต้นดีขึ้น QoQ ในส่วนของโรงไฟฟ้า SPP จากต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติลดลง และโรงไฟฟ้า IPP จากความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันและอัตรา weight factor ฤดูกาลเพิ่มขึ้น VSPP จากการกำลังการผลิต Solar Farm เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนจากไซยะบุรีและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง
ครึ่งปีแรก GPSC กำไรสุทธิบวก 72% แต่แนวโน้มครึ่งปีหลังทรงตัว
รวมครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท +72%YoY และกำไรหลัก 4,200 ล้านบาท +77%YoY แนวโน้มครึ่งปีหลังทรงตัว เนื่องจากโรงไฟฟ้า SPP ยังได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นหลังคลาย Lockdown รับส่วนแบ่งกำไรจากไซยะบุรีในช่วง High Season รวมถึงเริ่ม COD โครงการผลิตไฟฟ้านวนครส่วนขยายเข้ามาในไตรมาส 3/2563 ซึ่งน่าจะพอชดเชย Weight Factor ที่ลดลงของ IPP ได้ และการปรับลดค่า FT ลง 0.83 สตางค์ต่อหน่วยช่วง ก.ย-ธ.ค.63 อิงจาก Bloomberg คาดกำไรปี 2563-2564 ที่ 6,900 ล้านบาท +67%YoY และ 8,500 ล้านบาท +23%YoY
EA กำไรสุทธิลดลง 20.31% จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมกระแสอ่อนตามซีซั่น
ด้านบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ระบุว่า รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมมีรายได้ลดลงในไตรมาส 2/2563 เนื่องจากโดยปกติในไตรมาสที่ 2 เป็นฤดูกาลที่มีกระแสลมอ่อน ขณะเดียวกันในปี 2583 กระแสลมในพื้นที่ภาคใต้อ่อนแรงกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามรายได้รวม 2 ไตรมาสจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังเพิ่มขึ้น YoY เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มทุกโครงการในปีนี้ และมีปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นผลมาจากความเข้มของแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น เพราะปีนี้ปริมาณฝนตกน้อยกว่าปีก่อน
ผิดหวังกับหุ้น EA
นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำถือหุ้น EA เนื่องจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุด มีกำไรสุทธิ 1,149 ล้านบาท หดตัว 20.3%YoY และ 20.8% QoQ ซึ่งค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 15% โดยหลักๆ มาจาก 1.ปัจจัยที่บริษัทควบคุมไม่ได้ โดยกระแสลมในภาคใต้ปีนี้เบาบางกว่าปีก่อนมาก โครงการลมหาดกังหัน 126 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าได้เพียง 40.4 ล้านหน่วย ลดลง -30.2%YoY ขณะที่โครงการหนุมาน ผลิตไฟฟ้าได้ปกติ 105.7 ล้านหน่วย ทรงตัว +0.9% YoY และ 2.ค่าใช้จ่ายและบริหาร มีการบริจาคช่วย COVID -19 ไป 24 ล้านบาท และมีตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่ได้ใช้งานเกิดขาดทุน 28 ล้านบาท ซึ่ง 2 รายการนี้รวม 52 ล้านบาท ทำให้ SG&A พุ่ง 36.0% QoQ และเพิ่มขึ้น 27.1% YoY อย่างไรก็ตามถ้าหัก 2 รายการนี้ออกไป กำไรจะต่ำกว่าที่คาด 11% ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก