ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดทำการวันนี้ที่ระดับ 1,457.02 จุด ลดลง 47.32 จุด เปลี่ยนแปลง -3.15% มูลค่าการซื้อขาย 74,142.56 ล้านบาท ถือเป็นการปิดที่ต่ำสุดรอบเกือบ 1 เดือน แรงขายหุ้นขนาดใหญ่ฉุดให้ ดัชนีร่วงลงแรงตั้งแต่เปิดตลาดและยังคงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ฯ ระบุนักลงทุนกังวลปัจจัยในประเทศเดิมๆเป็นหลัก ขณะที่ตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่แกว่งในแดนลบเล็กน้อยจากกังวลเรื่องเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แนะให้ติดตามการทยอยประกาศงบฯไตรมาส 3/59 ของกลุ่มแบงก์ คาดว่าจะออกมาดีขึ้น ทำให้ตลาดฯมี Sentiment ดีบ้าง พรุ่งนี้ตลาดฯยังมีลุ้นเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์หลังร่วงแรง
การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยร่วงกว่า 50 จุด ตั้งแต่เปิดตลาดในภาคเช้า หลังจากนั้นก็มีรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในแดนลบ แต่ก็เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,470.84 จุด ส่วนดัชนีทำระดับต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,450.87 จุด ต่างชาติ +998.74 กองทุน -7,268.24 โบรคเกอร์ -627.33 รายย่อย +6,896.83
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยลงแรงเนื่องจากราคาหุ้นไทยขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนเทขายทำกำไรและเลือกถือเงินสด แต่เชื่อว่าปัจจัยที่เกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยระยะสั้น ที่ตลาดเจอมาหลายครั้งและคาดว่าหลังจากนี้ตลาดจะกลับสู่ภาวะปกติได้
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคระห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงแรงจากความกังวลปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวในแดนลบเพียงเล็ก ตามความกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะตลาดได้รับรู้เรื่องนี้กันไปหมดแล้วว่าเฟดอาจจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้
พร้อมให้ติดตามการรายงานผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดเมื่อเดือนก.ย. ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายงานดังกล่าวในวันที่ 12 ต.ค.นี้ โดยอาจมีการส่งสัญญาณแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็ได้ และให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/59 ของกลุ่มแบงก์ ซึ่งก็คาดว่าจะออกมาดีขึ้น ทำให้ตลาดฯมี Sentiment ดีได้บ้าง
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง คาดว่า พรุ่งนี้ (วันที่ 11 ต.ค.) ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสลงต่อหากยังคงมีปัจจัยลบกดดันจิตวิทยาการ ในกรณีเลวร้ายดัชนีน่าจะลงไปได้อีกประมาณ 20-25 จุด สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานของประเทศและบริษัทจดทะเบียนไทย
"ถ้ายังลงต่อแนวรับจิตวิทยาที่แข็งแกร่งน่าจะอยู่ที่ 1430-1425 จุดเท่ากับช่วงก่อนสงกรานต์ นักลงทุนสามารถเลือกซื้อสะสมหุ้นหลายตัวที่ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเก็บได้"
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย แนะนำให้นักลงทุนรอดูสถานการณ์ให้นิ่งก่อน สาเหตุที่หุ้นลงแรงวันนี้เพราะที่ผ่านมา PE หุ้นไทยแพงเริ่มแพง เพราะอัพไซด์หุ้นจำกัด มีความเปราะบาง พอมีข่าวเข้ามาก็จะปรับตัวลงง่านและแรง
ประกอบกับค่าเงินสหรัฐและเงินเยนแข็งค่า และค่าเงินบาทก็อ่อนค่า อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดี รอเพียงการลงทุนภาคเอกชน ไตรมาส 4
แนะนำลงทุนที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 การบริโภคที่ต้องกินต้องใช้ และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ของโลก รวมทั้งมีรายได้จากต่างประเทศประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ "ช่วงที่ดัชนีย่อตัวลงมาแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น 40% และถือเงินสด 60%" ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 3,436.89 ล้านบาท ปิดที่ 16.50 บาท ลดลง 1.00 บาท
BCPG มูลค่าการซื้อขาย 2,791.02 ล้านบาท ปิดที่ 12.50 บาท ลดลง 0.70 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,546.81 ล้านบาท ปิดที่ 61.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,317.10 ล้านบาท ปิดที่ 185.50 บาท ลดลง 6.50 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,200.05 ล้านบาท ปิดที่ 145.00 บาท ลดลง 6.00 บาท