ห้องเม่าปีกเหล็ก

SCB – BBL เด่นสุด! หุ้นกลุ่มแบงก์

โดย DAVINCI
เผยแพร่ :
280 views

SCB – BBL เด่นสุด! หุ้นกลุ่มแบงก์

นักวิเคราะห์เชียร์ “ซื้อ” กำไรปี 66 โตต่อ

 

.

ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารหลายตัวในช่วงไตรมาส 4/65 จะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สูงขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกทำให้นักลงทุนจับตามองว่าแนวโน้มกำไรของหุ้นธนาคารในปี 2566 จะมีทิศทางเป็นไร ซึ่งวันนี้ Wealthy Thai ก็มีความเห็นของนักวิเคราะห์มาฝาก

.

โดยบล.กรุงศรี ระบุว่า ประเมินว่าผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารจะกลับมามีแนวโน้มฟื้นตัวดีในปี 2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรจะเริ่มเร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป

.

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะรับบทสำคัญในการขับเคลื่อนกำไรในปี 2566 โดยเฉพาะหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะไปจบที่ระดับ 1.75%

.

ขณะที่ธนาคารใหญ่ ได้แก่ BBL, KBANK, KTB และ SCB จะเป็นกลุ่มหลักที่ได้อานิสงส์บวกจากดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะมีการปล่อยกู้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวในระดับสูง และมีโครงสร้างเงินฝากต้นทุนต่ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันและออมทรัพย์ (CASA)

.

นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งประมาณ 27% ในปี 2566 จากภาวะที่สนับสนุนทั้งเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดและแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ดังนั้น จึงยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มธนาคารที่ overweight โดยเลือก SCB และ BBL เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มฯ

.

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้ของ SCB บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า จะมีพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้น หลังเห็นความคืบหน้าของการรุกธุรกิจในกลุ่ม Consumer Finance และกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งคาดจะมีอัตราโตโดดเด่นในปีนี้ หลังที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้ SCB สามารถออกตราสารหนี้มูลค่ารวม 100,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี เพื่อขยายธุรกิจใหม่ๆ

.

โดยบริษัทตั้งเป้าอัตราโตของสินเชื่อรวมปีนี้ที่ 5-8% (ฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 3%) หลักๆ จากฝั่งธุรกิจ Consumer Finance ที่จะเห็นการเติบโตทั้งในส่วนของ CardX ที่จะเริ่มนำ AI และ Data Analytic มาช่วยในการนำเสนอสินเชื่อและจัดการระบบตามหนี้ รวมถึงเตรียมเปิดให้บริการ Buy Now Pay Later ในปีนี้ (JV ร่วมกับ Akulaku ผู้นำด้าน Digital Platform ในอินโดนีเซีย)

.

AutoX ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเพิ่มเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท ในปีนี้จาก 7.5 พันล้านบาท ใน 2565 ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีเริ่มมีแผนจะลด Cash burn เพื่อรักษาระดับผลดำเนินงานไม่ให้เป็นภาระต่องบการเงินมากจนเกินไป ส่วนธุรกิจธนาคาร จะเน้นขยายสินเชื่อเชิงระมัดระวังเช่นเดิม แต่จะเริ่มพัฒนาธุรกิจ Wealth ให้แข็งแรงขึ้น รวมถึงพยายามขยายฐานผู้ใช้ Digital Platform

.

ฝั่งของค่าใช้จ่ายบริษัทตั้งเป้า Cost to Income Ratio ที่ Mid 40% ใกล้เคียงกับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ โดยแม้จะมีค่าใช้จ่ายของธุรกิจใหม่เข้ามา แต่จะไม่มีค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างธุรกิจเหมือนในปี 2565 (ราว 2-2.5 พันล้านบาท) ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมไม่ได้เร่งตัวขึ้นจากเดิมมากนัก

.

การตั้งสำรอง SCB มองว่าปัจจุบันเศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น และลูกหนี้ในพอร์ตยังมีความสามารถในการชำระเงินคืนอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้ตั้งเป้าที่จะลดระดับ Credit Cost ลงเหลือ 120-140 bps จาก 145 bps ในปี 2565 (ฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 138 bps) ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกหนุนให้คงคาด SCB จะมีกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 47,528 ล้านบาท โต 26.6% จากปีก่อน

.

คงมุมมอง SCB เป็นธนาคารใหญ่ที่มีพัฒนาการน่าสนใจ จากการรุกธุรกิจใหม่ที่จะช่วยหนุนให้ NIM ในระยะยาวสามารถขยายตัวได้ดีกว่าธนาคารอื่น ขณะที่ราคาหุ้นปรับลงจนมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานปี 2566 เดิมที่ 144 บาท ส่วนปันผลครึ่งหลังของปี 2565 คาดจ่ายที่ 2.9 บาท คิดเป็น Dividend Yield 2.7% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

.

ด้าน BBL บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า เบื้องต้นคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 31,391 ล้านบาท เติบโต 7% จากปีก่อน แต่มี Upside จาก NIM ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์จะทบทวนประมาณการอีกครั้งหลังการประชุมนักวิเคราะห์ในช่วง 13 - 17 ก.พ. 2566 ที่จะมีการเปิดเผยเป้าหมายทางการเงินปี 2566

.

โดยแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 เติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาท จากการรับรู้ผลของการขึ้น M-Rate ช่วงไตรมาส 4/65 เต็มไตรมาส และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) มีแนวโน้มต่ำลงตามฤดูกาล ขณะที่ประเมินอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองของธนาคาร (Credit Cost) ยังอยู่ในการบริหารจัดการ

.

ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) มีพัฒนาการเด่นชัด และประมาณการมี Upside รวมถึงอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (Coverage Ratio) แกร่งสุดในกลุ่มฯ พร้อมคาดเงินปันผลช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ไว้ที่ 2.75 บาทต่อหุ้น อิงจากสมมติฐานทั้งปีที่ 4.25 บาทต่อหุ้น (ครึ่งปีแรกจ่าย 1.50 บาทต่อหุ้น) เทียบเท่า Dividend payout ratio ที่ 28% (ปี 2564 ที่ 25.2%)

.

ฝ่ายวิเคราะห์คงแนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 159 บาท แม้กำไรที่ต่ำกว่าตลาดคาด น่าจะสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้น แต่เป็นผลมาจากการวัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรม (FVTPL)

 

 


DAVINCI