ห้องเม่าปีกเหล็ก

SELL in May กับเหตุผลตลาดหุ้นโลกเสี่ยงถูกขาย

โดย Fin-trading
เผยแพร่ :
64 views

 

จีดีพีสหรัฐฯ ไตรมาสแรกออกมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว สร้างความผิดหวัง ด้วยตัวเลขที่เติบโตต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลฉุดเซ็นติเมนต์ต่อเนื่องมายังตลาดเอเชียในวันจันทร์ (1 พ.ค.) ขณะตลาดหุ้นไทยหยุดทำการเนื่องในวันแรงงาน
 
 
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน มาพร้อมกับมูลค่าหุ้นในหลายตลาดทั่วโลกที่เพิ่มกลับขึ้นมาในระยะสั้น จากความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรปที่ลดลง แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนบางรายมองว่าจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงเกิดการปรับฐานได้ในระยะอันใกล้นี้
 
 
“คมศร ประกอบผล” หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ให้ข้อมูลว่า ในช่วงที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นแรง ตามความเสี่ยงทางการเมืองในฝรั่งเศสที่ลดลง หลังนาย Emmauel Macron ซึ่งมีนโยบายที่ค่อนข้างเป็นบวกกับตลาด และเป็นมิตรกับสหภาพยุโรป ผ่านเข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งรอบที่ 2 วันที่ 7 พ.ค.นี้
 
 
อีกทั้งผลโพลล่าสุด ชี้ว่า “Macron” ยังนำ “Marine Le Pen” ซึ่งเป็นฝ่ายขวาจัดและมีนโยบายต่อต้านสหภาพยุโรป อยู่ค่อนข้างขาด (60% ต่อ 40%) และส่วนต่างของความนิยมที่ราว 20% นับว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับความคาดเคลื่อนของโพลในอดีตที่สูงสุดประมาณ 10% 
 
 
ปรากฏการณ์ดังกล่าวชี้ว่า “Macron” มีโอกาสสูงมากที่จะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
 
 
ดังนั้น “ทิสโก้” จึงเชื่อว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นแรง น่าจะสะท้อนข่าวดีจากการเลือกตั้งฝรั่งเศสไปมากแล้ว และตลาดน่าจะมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานในระยะข้างหน้า 
 
 
เพราะหากประเมิน Valuation ของหลายตลาดปัจจุบัน ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงแล้ว อย่างเช่น ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ซื้อขายที่ Forward P/E ประมาณ 18 เท่า ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ “Dot-com Bubble” เมื่อช่วงปลายทศวรรษที่ 90 
 
 
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย เอเชีย และยุโรป ซึ่งซื้อขายที่ Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตแทบทั้งสิ้น โดยมีเพียงตลาดหุ้นญี่ปุ่นเท่านั้น ที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
 
 
“ทิสโก้” ยังชี้ให้เห็นปัจจัยลบ ที่อาจจุดชนวนให้เกิดการปรับฐานของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นแรงเทขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะเหล็ก ซึ่งราคาแร่เหล็กในตลาด Dalian Commodity Exchange ปรับตัวลดลงแรงต่อเนื่องราว 45% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา และเริ่มกดดันให้โลหะอุตสาหกรรมอื่นๆ ปรับตัวลดลงตาม 
 
 
ประกอบกับราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำ กว่า 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากที่เคยทรงตัวที่ระดับ 52-55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ตลาดหุ้นโลก ซึ่งซื้อขายที่ระดับ Valuation ค่อนข้างแพง มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานในระยะอันใกล้นี้ 
 
 
“ทิสโก้” มองว่าสัญญาณราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเงินเฟ้อ และการขยายตัวของกำไรในตลาดหุ้นได้
 
**********************************
ที่มา : Business & Finance , Money Channel

Fin-trading