แบงก์มียอดคงค้าง NPA กว่า 1.35 แสนลบ.เพิ่ม46% มองดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบตลาดน้อย
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ยอดสะสมของ NPA ปรับตัวสูงขึ้น โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565 ธนาคารพาณิชย์มียอด NPA คงค้างรวมกันมูลค่า 135,160 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มียอด NPA คงค้างรวมกันมูลค่า 92,800 ล้านบาท
“สำหรับผลของเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยต่อตลาดบ้านมือสองมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยยังไม่แน่นอนเนื่องจากยังต้องดูสถานการณ์โลก ในส่วนของประเทศไทยเนื่องจากภาครัฐพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจการขึ้นดอกเบี้ยคงน้อยมากและอาจขึ้นไม่ถึง 1% และเป็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางส่วนที่จะส่งผลกระทบมาถึงตลาดคิดว่ามีน้อย นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยของที่อยู่อาศัยจะเป็น fix ในระยะแรก ส่วนระยะต่อไปก็คาดเดายาก”
ด้านดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ รักษาการอำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ในฐานะกรรมการที่ปรึกษาสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมไปถึงบ้านมือสองได้ทำให้บรรยากาศของตลาดบ้านมือสองมีการรยายตัวด้านอุปทานในตลาดมากขึ้นกว่าปีก่อนด้วย โดยเห็นได้จากที่จำนวนหน่วยและมูลค่าของบ้านมือสองในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีการขยายตัวขึ้น 20.2% และ 25.1% ตามลำดับ
ทั้งนี้บ้านเดี่ยวมีจำนวนเสนอชายในตลาดบ้านมือสองมากที่สุด รองลงมาคือ ห้องชุด และทาวเฮ้าส์ โดยจะเห็นได้ว่าบ้านมือสองส่วนใหญ่มีการเสนอขายในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และจังหวัดหลัก คือ ชลบุรี เชียงใหม่ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และนครราชสีมา สำหรับในกรุงเทพมหานครมีจำนวนหน่วยเฉลี่ยต่อเดือนมากที่สุด 54,627 หน่วย หรือคิดเป็น 39.6% ของทั้งประเทศ และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 581,059 ล้านบาท หรือคิดเป็น 61.9% ของทั้งประเทศ
ขณะที่อุปสงค์ก็มีการขยายตัวสะท้อนผ่านการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านมือสอง โดยพบว่า ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 มีจำนวน 49,227 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 96,296 ล้านบาท มีการขยายตัวของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เท่ากับ 4.0% และ 5.9% ตามลำดับ โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 61.5% และ 44.7% ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด
สำหรับบ้านมือสองราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 80% แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ต้องการหาซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะต้องมองไปที่ตลาดบ้านมือสองมากกว่าบ้านใหม่ เพราะแทบไม่มีอุปทานบ้านใหม่รองรับ ขณะที่บ้านมือสองระดับราคา 2-3 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีการขยายตัวของการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดเนื่องจากบ้านใหม่ในระดับราคา 2-3 ล้านบาทที่มีการผลิตมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลับมาเป็นบ้านมือสองในปัจจุบัน
“การที่ราคาบ้านใหม่มีทิศทางที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อ จึงอาจทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหันมาพิจารณาซื้อบ้านมือสองมากขึ้น เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าได้ทำเลที่ดี และยังได้รับการลดคำรรมเนียมการโอนและค่จดจำนองอีกด้วยดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่าในปี 2565 เป็นปีที่บ้านมือสองได้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวขึ้น”
ด้านนายอลงกต บุญมาสุข เลขาธิการสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นการทำแพ็คเกจเรื่องอัตราดอกเบี้ยการกู้เงินขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่งว่ามีมุมมองและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างไร แต่สมาคมมองว่าเรื่องโปรโมชั่นจะยังมีอยู่แต่อาจจะมีรูปแบบต่างกันไป บางแห่งอาจเป็น fix rate บางแห่งอาจเป็น float rate อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วต้องจับตามองทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยซึ่งเริ่มเห็นเทรนด์ว่าในอนาคตจะมีการปรับตัว
“โปรโมชั่นสินเชื่อสำหรับที่อยู่อาศัยเนื่องจากบ้านเป็นปัจจัยสี่คงยังมีโอกาสที่จะเห็นแคมเปญการตลาดของสินเชื่อที่อยู่อาศัยของแต่ละสถาบันการเงินแน่นอนแต่จะมาในรูปแบบไหน ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบการกำหนดอัตราดอกเบี้ย เรื่อง On Top หรือการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกจากนี้ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ยังมีมาตรการภาครัฐสนับสนุนอยู่ดังนั้นมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังมองว่าจะขยับไปได้ดีกว่าเดิม”