ห้องเม่าปีกเหล็ก

ถึงเวลา เปลี่ยนไปสะสมหุ้นกลุ่ม Domestic Plays

โดย คเณชา
เผยแพร่ :
223 views

ถึงเวลา

เปลี่ยนไปสะสมหุ้นกลุ่ม Domestic Plays

คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะทำผลงานได้ดีกว่าท่ามกลางภาวะขาลงของตลาดหุ้นทั่วโลก

จากแนวโน้มเชิงรุกของเฟด อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนส.ค. ส่งผลให้เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 75bps ถึง 100bps ในการประชุมสัปดาห์หน้าและคาดว่าเฟดจะปรับขึ้น terminal rate เป็น 4.25-4.50% เทียบกับ 3.75-4.00% ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้นทั่วโลกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

เรามองว่าคาดการณ์นั้นเป็นเชิงลบเกินไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิ.ย. มาอยู่ที่ 8.3% ในเดือนส.ค. และประมาณการของตลาดคาดว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงเป็น 7.2% YoY ในไตรมาส 4/2565 และ 3.7%/2.4% ในปี 2566-2567 สอดคล้องกับเป้าหมายของเฟด

 

นอกจากนี้ เราคาดว่าตลาดหลักทรัพย์ของไทยซึ่งมีผลตอบแทน -0.1% YTD เทียบกับผลตอบแทนของ MSCI ACWI ที่ -19.3% จะยังทำผลงานดีกว่าตลาดหุ้นโลก ด้วยแรงหนุนหลักจาก

1) รายได้ภาคเกษตรที่ดีขึ้นจากผลกระทบของปรากฎการณ์ลานีญาที่ก่อให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่สูงกว่าปกติในประเทศไทย

2) แนวโน้มผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวจากการปรับตัวดีขึ้นของห่วงโซ่อุปทานหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI)

3) รายได้จากภาคบริการที่สูงขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น (5 ล้านคน YTD) และการเปิดเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ

4) อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำและเงินบาทที่อ่อนค่า เนื่องจาก ธปท. มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

5) แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลง (คาดลดลงเหลือ 80 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรลในปี 2566 เทียบกับ 100 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรลในปี 2565)

 

คาดว่าหุ้น domestic plays มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นในปี 2566

เราคาดว่าหุ้น domestic plays จะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นในปี 2566 หนุนจากการบริโภค การลงทุน และการบริการที่ดีขึ้น เราคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจน่าจะกระจายตัวดีขึ้นในปี 2566 มากกว่าที่จะเป็นการฟื้นตัวแบบ K-shaped ในปี 2564-2565 ซึ่งมาจากการเปิดเศรษฐกิจใหม่อย่างเต็มรูปแบบหลังสถานการณ์โควิด-19 กอปรกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รายได้ภาคเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวขาเข้าที่มากขึ้น และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง

อย่างไรก็ดี การเติบโตชะลอตัวในสามประเทศเศรษฐกิจหลัก (สหรัฐอเมริกา จีน และประเทศในยูโรโซน) ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้ของหุ้นกลุ่ม global plays ในปี 2566 จากรายได้จากการส่งออกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง ตลาดประมาณการการเติบโตของ EPS ที่ 9.1% YoY/5.7% YoY ในปี 2565 และ 2566

 

กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะรายงานการเติบโตที่แข็งแกร่งของกำไรสุทธิในปี 2566 ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว (+339.1% YoY) ขนส่ง (+51.6% YoY) ผู้รับเหมา (+48.2% YoY) สื่อ (43.9% YoY) พาณิชย์ (+30.9% YoY) อาหาร (+23.5% YoY) อิเล็กทรอนิกส์ (+22.1% YoY) การเงิน (18.8%) บรรจุภัณฑ์ (17.1%), รถยนต์ (16.4%) ICT (15.2%) วัสดุก่อสร้าง (14.3%) อสังหาริมทรัพย์ (13.2%) และธนาคาร (10.3%)

 

กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะรายงานการเติบโตของกำไรสุทธิที่ติดลบในปี 2566 ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี (-2.4% YoY) พลังงาน (-11.3% YoY) และโรงพยาบาล (-12.9% YoY) หากไม่รวมกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กำไรของตลาดคาดจะเติบโตขึ้น 15% YoY และ 17% YoY ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ

 

ถึงเวลาเปลี่ยนไปสะสมหุ้นกลุ่ม domestic plays

จากแนวโน้มการเติบโตในปี 2566 ที่ดีขึ้นและการถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติ เราแนะนำให้นักลงทุนเปลี่ยนการสะสมหุ้นจากผู้นำตลาดและที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติ (กลุ่มโรงพยาบาล อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์) ไปยังหุ้นกลุ่ม laggard (ผู้รับเหมา สื่อ พาณิชย์ อาหารและเครื่องดื่ม การเงิน บรรจุภัณฑ์ รถยนต์ ICT วัสดุก่อสร้าง และธนาคาร) เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติถือครองน้อย และน่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากการเปิดเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวที่เฟื่องฟู รายได้ภาคเกษตรที่ดีขึ้น FDI และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

 

 

 


คเณชา