ใกล้ถึงเวลาจุดพลุเข้าไปเรื่อยๆสำหรับโครงการแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(Eastern Economics Corridor ) หรือ EEC มหาโปรเจ็กขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ใช้เงินลงทุนมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท ในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมขนาดยักษ์บนพื้นที่จังหวัด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ภายในระยะเวลา 5 ปี (2560-2564)
เป็นที่ทราบกันดีว่าโครงการนี้ประกอบไปด้วยแผนงานหลัก 3 ด้าน คือ 1.พัฒนาระบบคมนาคมทุกมิติ 2.พัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ไม่ต่ำกว่า 35,000 ไร่ และ 3.เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุน อาทิ ยกเว้นภาษีนิติบุคคลจาก 8 ปีเป็น 13 ปี และ 15 ปีใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อดึงดูดการลงทุนจากผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศและภูมิภาคอาเซียนในอนาคต ซึ่งคาดว่าโครงการต่างๆจะเริ่มทยอยประกาศเดินหน้าภายในครึ่งหลังของปีนี้
แน่นอนว่าต้องมีบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการข้างต้นทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยบรรดาสำนักวิเคราะห์วิจัยต่างๆประเมินกันว่ากลุ่มธุรกิจที่จะโดดเด่นในพื้นที่ดังกล่าวประกอบไปด้วย นิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์ รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และโรงพยาบาล เพราะล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับโครงการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" จึงได้ทำการสำรวจว่ามีหุ้นใดบ้างจากกลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้นที่มีแววจะเฉิดฉายจากแรงผลักดันของโปรเจ็กนี้
*** AMATA-WHA โดดเด่นสุดกลุ่มนิคมฯ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส ระบุว่า บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) และ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เป็น 2 บริษัทที่จะได้รับอานิสงส์จาก EEC โดยตรง เพราะมีโครงการอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดเป้าหมายทั้งหมด และมีที่ดินรอขายและพัฒนาจำนวนมาก โดย AMATA มีที่ดินรองรับในพื้นที่เกือบ 1.4 หมื่นไร่
ส่วน WHA มีอยู่กว่า 1 หมื่นไร่ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันจะเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นของอุตสาหกรรมนี้ ที่สำคัญยังมีธุรกิจอื่นๆในเครือที่เกี่ยวข้องค่อนข้างครบวงจร จะทำให้เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของผู้ที่จะเข้ามาลงทุนอย่างแน่นอน
นอกจากนี้มองว่าโครงการ EEC จะทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20-30% บวกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับเพิ่มเข้ามา จะทำให้ผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
"AMATA และ WHA มีความพร้อมสูงกว่ารายอื่นๆในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งในแง่ที่ดินในมือและโครงสร้างธุรกิจที่ครบวงจร จึงทำให้เป็นหุ้น Top Pick ที่มีความสามารถในการขยายตัวได้โดดเด่นไปพร้อมกับโครงการ EEC"
*** ATP30 เตรียมโตแบบก้าวกระโดด
นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินว่า บมจ.เอทีพี 30 (ATP30) มีความน่าสนใจที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เพราะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ด้านบริการรถโดยสารขนส่งบุคลากรจากที่อยู่อาศัยไปยังโรงงานอุตสาหกรรมรอบเขตนิคมภาคตะวันออก โดยเมื่อโครงการเริ่มเดินหน้าจะทำให้มีดีมานด์เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง
"ATP30 จะได้รับประโยชน์เต็มๆ จากโครงการ EEC เพราะเมื่อโรงงานเพิ่มขึ้น คนงานก็จะมากขึ้นตาม ความต้องการใช้รถขนส่งพนักงานก็จะเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ATP30เป็นผู้ประกอบการซึ่งรับบริการอยู่โซนนั้นอยู่แล้ว มีการพัฒนารถบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้เร็วกว่ารายอื่น ชิงตลาดได้ก่อน โดยน่าจะเห็นการขยายตัวของธุรกิจตั้งแต่ช่วงเริ่มโครงการ EEC ได้เลย ซึ่งถือว่ามีนัยต่อธุรกิจของ ATP30 ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า"
*** กลุ่มรับเหมาฯยังเป็นตลาดของรายใหญ่
นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า สำหรับงานรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่โครงการ EEC ยังเป็นตลาดของรายใหญ่ เนื่องจากมีศักยภาพในการประมูลโครงการต่าง ๆสูง โดยน่าจะเป็นลักษณะการกระจายตัวไม่มีรายใดโดดเด่นเพื่อครองตลาด เพราะโครงการ EEC มีงานที่เตรียมเปิดประมูลจำนวนมาก ขณะที่มีเมกะโปรเจ็กในพื้นที่อื่นๆ ให้เข้าร่วมอีกหลายโครงการเช่นกัน
โดยแนะนำ บมจ.ช.การช่าง (CK), บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ)
*** ORI เจ้าอสังหาฯภาคตะวันออก
ด้านกลุ่มพัฒนาอสังหาฯ นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) มีความโดดเด่นในแง่ของการเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯในโซนดังกล่าว และมีที่ดินรองรับพอสมควร เชี่ยวชาญการตลาดในพื้นที่ เพราะเน้นตลาดชาญเมืองมาตั้งแต่แรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการขยายตลาดในจังหวัดชลบุรีหลายโครงการ ซึ่งการเกิด EEC จะช่วยสนับสนุนยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ.
ขณะที่มองว่าชลบุรีจะเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงมากในอนาคต เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลบวกจาก EEC อย่างไรก็ตามต้องจับตาการแข่งขันของผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องจากหลายบริษัทเริ่มเปิดตลาดภาคตะวันออก เพราะเล็งเห็นโอกาสจาก EEC เช่นกัน
*** CHG แจ่มสุดในกลุ่มโรงพยาบาล
นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์ ประเมินว่า บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) แข็งแกร่งสุดในโซนดังกล่าว เพราะมีเครือข่ายธุรกิจโรงพยาบาลและคลินิกเอกชน ครอบคลุมพื้นทั่วที่ตะวันออก ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง และจังหวัดสระแก้ว รวมถึง พื้นที่กรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออก และพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับสนามบินสุวรรณภูมิ
ซึ่งจากทำเลที่ตั้งข้างต้นทำให้ CHG จะได้รับผลบวกจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) โดยตรง เพราะเขตเศรษฐกิจพิเศษจะช่วยเพิ่มการจ้างงานในพื้นที่ และเพิ่มความหนาแน่นของชุมชนในบริเวณดังกล่าว ส่งผลให้ CHG มีจำนวนผู้ป่วยเข้าใช้บริการเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ลูกค้าหลักของ CHG ส่วนใหญ่ เป็นผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยประกันสังคม ซึ่งทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีรายได้ของกลุ่มผู้ป่วยที่หลากหลาย ขณะเดียวกันนโยบายของผู้บริหารยังคงขยายกิจการอย่างต่อเนื่องในเชิงรุก ทั้งการเพิ่มสาขาและนวัตกรรมการรักษาโรค ซึ่งทำให้ CHG โดดเด่นสุดในกลุ่มโรงพยาบาลที่จะได้รับอานิสงส์จาก EEC
*** SE หุ้นน้องใหม่พร้อมโตไปกับ EEC
นอกจากกลุ่มอุตสาหกรรมหลักแล้ว ยังมีอีกหนึ่งหุ้นที่หน้าสนใจ คือ บมจ.สยามอีสต์ โซลูชั่น (SE) ที่ดำเนินธุรกิจจัดหาและจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมและให้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับระบบปั๊ม ระบบท่อ และงานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรม และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก
โดยนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า โครงการ EEC จะทำให้ความต้องการลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงขยายกำลังการผลิตของโรงงานเดิมในอุตสาหกรรมที่สามารถต่อยอดได้ ซึ่งจะทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่ SE จัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น เพราะ SE มีความชำนาญและเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือโรงงานอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก
"EEC จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของ SE ให้ก้าวกระโดด เพราะเป็นสินค้าที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องใช้ ซึ่งฐานลูกค้าส่วนใหญ่ก็อยู่ในเขตนิคมภาคตะวันออก การขยายโซนเศรษฐกิจใหม่ ทำให้จะมีตลาดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มียอดขายสินค้าและบริหารได้มากขึ้น"
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย