ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 แนวทางวางแผน รับมือ ค่ารักษาพยาบาล ให้อยู่หมัด

โดย โน๊ต
เผยแพร่ :
227 views

5 แนวทางวางแผน

รับมือ #ค่ารักษาพยาบาล ให้อยู่หมัด

 

.

1. เลือกโรงพยาบาลให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง

โรงพยาบาลเอกชนก็มีหลายระดับหลายราคา แม้ว่าเราจะอยากได้รับการรักษาที่ดีที่สุด แต่หากมันราคาแพงเกินไป สุขภาพกายของเราอาจจะดีขึ้นจริงแต่สุขภาพการเงินของเราอาจจะแย่ลงไปแทน ดังนั้นเราก็ควรจะเลือกโรงพยาบาลที่มีค่ารักษาที่เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ของเราไว้ก่อน โดยค่าใช้จ่ายที่สามารถหาข้อมูลได้ส่วนใหญ่คือ ค่าห้อง หรือค่ารักษาโรคทั่วไปบางโรค คำแนะนำเบื้องต้นก็คือ ควรเลือกโรงพยาบาลที่มีอัตราค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลที่ควรจะสอดคล้องกับรายได้ของเรา โดยค่าห้อง(รวมค่าบริการพยาบาลและค่าอาหาร) ต่อคืน ไม่ควรเกิน 10% ของเงินเดือนของเรา เช่น เงินเดือน 50,000 บาท ก็ควรเลือกโรงพยาบาลที่มีค่าห้องไม่เกิน 5,000 บาท ต่อคืน เป็นต้น

.

2. ใช้ประโยชน์จากสวัสดิการรักษาพยาบาลที่มีอยู่จากที่ทำงาน

.

ลองสำรวจดูว่า บริษัทหรือที่ที่เราทำงานอยู่ มีสวัสดิการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมค่ารักษาอย่างไร และเท่าไหร่บ้าง เพื่อที่ว่าหากเราต้องเข้ารับการรักษาแล้ว เราจะสามารถเบิกค่ารักษาเรื่องไหนได้บ้างและได้เท่าไหร่ ขาดเหลืออีกเท่าไหร่ที่อาจจะต้องควักเงินจ่ายเพิ่มเพื่อจะได้เตรียมตัวได้ถูก ซึ่งโดยทั่วไป ถ้าเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ก็อาจจะมี “ประกันกลุ่ม” ที่คุ้มครองค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ (แต่วงเงินความคุ้มครองอาจจะไม่เพียงพอ) รวมถึงสิทธิ์ประกันสังคม ที่ชดเชยค่ารักษาในโรงพยาบาลรัฐ ส่วนคนที่ทำงานราชการ ก็จะมีสวัสดิการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐที่สามารถเบิกได้เกือบทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเบิกค่ารักษาหากเข้าโรงพยาบาลเอกชนได้ แต่อย่างน้อย เมื่อถึงคราวจำเป็นและไม่มีตัวเลือกอื่น ก็ยังสามารถใช้สิทธิ์เบิกจ่ายในโรงพยาบาลของรัฐไปก่อนได้ อย่างไรก็ตามเราก็ควรวางแผนเตรียมเงินกรณีฉุกเฉินส่วนที่เกินจากสวัสดิการที่มี เผื่อกรณีฉุกเฉินที่เราจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลเอกชนจริงๆเอาไว้ด้วย

.

3. วางแผนทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม

.

หากเรามีเงินเหลือพอสมควร เราควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาทำประกันสุขภาพ กับบริษัทประกันชีวิต หรือวินาศภัย เพื่อสร้างความคุ้มครองส่วนตัว ข้อดีก็คือ ประกันสุขภาพสมัยนี้มีให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท และแพ็กเกจ ตามความเหมาะสมของค่ารักษา และเงินในกระเป๋า ที่ช่วยให้มีโอกาสครอบคลุมค่ารักษาที่เกิดขึ้นของโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น ทั้งแบบเหมาจ่ายค่ารักษา หรือแบบแยกรายการความคุ้มครอง แต่โดยพื้นฐาน ก็ควรเลือกประกันสุขภาพที่เป็นความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั่วไป เช่น ค่าห้อง ค่าผ่าตัด เอาไว้ก่อน โดยเลือกแพ็กเกจที่วงเงินสอดคล้องกับค่ารักษาของโรงพยาบาลที่เราเลือกไว้ (ถ้าใครมีสวัสดิการค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนอยู่แล้ว ก็อาจจะทำเพิ่มเฉพาะส่วนที่ขาด) หากมีงบประมาณเหลือ ก็อาจเพิ่มความคุ้มครองกรณี โรคร้ายแรง หรืออุบัติเหตุเพิ่มเข้าไป เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงกรณีเราเป็นโรคร้ายแรง (เช่น มะเร็งหรือหลอดเลือดหัวใจ) หรือทุพพลภาพเอาไว้ด้วยก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ค่าเบี้ยทั้งหมดสูงเกินไปจนเราจ่ายไม่ไหวหรือรู้สึกเป็นภาระ โดยที่ โดยทั่วไป ค่าเบี้ยประกันไม่ควรเกินประมาณ 10% ของรายได้ทั้งปีของเรา

.

ข้อควรระวังคือ นอกจากเราจะดูค่าเบี้ยที่เหมาะสมกับปัจจุบันแล้ว เราก็ควรจะประเมินศักยภาพในการจ่ายเบี้ยในอนาคตของเราเอาไว้ด้วย เนื่องจากค่าเบี้ยประกันสุขภาพ มักจะปรับเพิ่มขึ้นตามอายุ ทำให้ค่าเบี้ยในช่วงที่เราเริ่มอายุมาก โดยเฉพาะในช่วงเกษียณอายุ จะมีค่าเบี้ยค่อนข้างสูง ดังนั้น เราจึงอาจจะต้องวางแผนลงทุน หรือเตรียมเงิน เพื่อไว้จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันช่วงหลังเกษียณเอาไว้ด้วย

.

นอกเหนือจากนี้ อย่าลืมว่า "ค่ารักษาพยาบาลนั้นปรับเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ" ทำให้ประกันสุขภาพที่เราวางแผนทำไว้ อาจจะไม่ครอบคลุมค่ารักษาในอนาคตได้ เราจึงควรทบทวนกรมธรรม์ที่ทำไว้อยู่เสมอ ว่าความคุ้มครองที่ทำไว้ ยังเหมาะสมกับค่ารักษาอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ครอบคลุมแล้ว ก็อาจจะพิจารณาทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม หรือเลือกที่จะเตรียมเงินด้วยตัวเองอีกส่วนหนึ่ง เพื่อรองรับค่ารักษาส่วนที่ขาดไป เอาไว้ด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนจะเลือกวิธีไหน ก็ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมกับฐานะ และกำลังความสามารถในการเตรียมเงินหรือจ่ายเบี้ยประกันของเราเอาไว้ด้วย

.

4. อย่าลืมเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาล เมื่อคิดจะย้ายบริษัท

.

สำหรับใครที่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลจากบริษัทที่ทำงานอยู่ที่ดีมากๆ เช่น อาจจะให้เบิกค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด หรือเกือบหมด รวมถึงสวัสดิการด้านอื่นๆ แม้จะเป็นข้อได้เปรียบ แต่ก็อาจเป็นข้อจำกัดด้วยเช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากวันหนึ่งเราเกิดพิจารณาอยากย้ายงานไปทำงานที่อื่น อย่าลืมว่า สวัสดิการที่เรามีอยู่ก็จะต้องเปลี่ยนไป หรือหายไปด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าจะเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ต้องดูดีๆว่าสวัสดิการเป็นอย่างไร หากสวัสดิการรักษาพยาบาลดีๆที่มีอยู่ต้องหายไป จะอาจจะจำเป็นต้องวางแผนเรื่องนี้ใหม่ ให้ต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จึงต้องพิจารณาดีๆ รวมถึงคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาดีๆจากที่ทำงาน ที่กำลังใกล้จะเกษียณ อย่าลืมว่า ถ้าเกษียณแล้ว สวัสดิการที่มีอยู่ ก็จะหายไปด้วย ดังนั้น ก็ควรจะต้องเตรียมตัววางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ว่าจะต้องเตรียมเงินสำหรับค่ารักษา หรือค่าเบี้ยประกันหลังเกษียณไว้เท่าไหร่จึงจะเหมาะสมเพียงพอเอาไว้ด้วย

.

5.ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสเจ็บป่วย

.

การเตรียมเงินค่ารักษา ใช้สวัสดิการ หรือทำประกันสุขภาพ เป็นการเตรียมตัว ณ ปลายเหตุ คือตอนที่เกิดการเจ็บป่วย และเกิดค่ารักษาขึ้นเรียบร้อยแล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดคือ เราไม่ต้องเจ็บป่วย หรือลดโอกาสเจ็บป่วยลงให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี ทั้งการทานอาหาร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่โหมใช้ร่างกายหนักจนเกินไป เพราะร่างกายของเราไม่ใช่เครื่องจักร คงไม่คุ้มกันแน่ ถ้าเราทำงานหนัก หาเงินได้เยอะ แต่กลับทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมแล้วต้องนำเงินที่หามาได้มาใช้ในการรักษาพยาบาลตัวเองอีกรอบ ดังนั้น การเตรียมตัวรับมือค่ารักษา จึงควรจะทำควบคู่พร้อมกันไปกับการดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยอีกแรงหนึ่ง

.

หวังว่าทั้ง 5 แนวทางที่ได้แนะนำไป จะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ที่สามารถช่วยให้ทุกคนสามารถกลับไปวางแผนรองรับความเสี่ยงเรื่องการเจ็บป่วยและค่ารักษาพยาบาลที่อาจจะเกิดขึ้นได้นะครับ

 

 


โน๊ต