ห้องเม่าปีกเหล็ก

TIDLOR-ADVANC-MAJOR นำทัพหุ้นเด่น

โดย พญาหงส์
เผยแพร่ :
252 views

TIDLOR-ADVANC-MAJOR นำทัพหุ้นเด่น

นักวิเคราะห์แนะเข้าลงทุน รับตลาดหุ้นไทยขาขึ้น

 

.

TIDLOR-ADVANC-MAJOR-GPSC และ RATCH ถือเป็น 5 หุ้นเด่นที่สอดรับการธีมการลงทุนในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไทยกำลังเป็นขาขึ้นและดูแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ จากการคลายความกังวลเรื่องตัวเลขเงินเฟ้อที่กำลังจะลดลง และแรงปัจจัยที่เข้ามากดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มคลี่คลาย ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของไทยกำลังจะเริ่มฟื้น

.

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยดูแข็งแรงขึ้น ทั้งจากความกังวลเงินเฟ้อที่ลดลง พร้อมกับแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยที่น้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น หนุนให้ต่างชาติชะลอการขายหุ้นไทยในช่วงก่อนหน้า และสลับมาซื้อสุทธิเพิ่มขึ้น

.

โดยหากย้อนหลังไปเมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.ย. ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยประมาณ 1,000 ล้านบาท และล่าสุดวานนี้ (12 ก.ย.65) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพิ่มอีกกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมกับเปิดสถานะ Long สัญญา SET50 Futures กว่า 3.2 หมื่นสัญญาซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีหนุนตลาดหุ้นไทยดูแข็งแรงขึ้น

.

ภายใต้ตลาดหุ้นไทยที่ดูแข็งแรงขึ้น มีเม็ดเงินต่างชาติคอยพยุง ฝ่ายวิจัยทำการค้นหาหุ้น 10 หุ้น Deep Value ที่มี Margin of Safety สูงๆ ทั้งจากความเสี่ยงต่ำจากราคาที่ยัง Laggard แต่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นกว่าภาพรวมตลาด โดยผ่านเงื่อนไขต่างๆ

.

เงื่อนไขดังกล่าวประกอบไปด้วย 1. เป็นหุ้นมีกำไรและมักจ่ายปันผลสม่ำเสมอ 2. ราคาลงมาลึกจนผลตอบแทนต่ำกว่าช่วงก่อนเกิด Covid-19 3. ผลตอบแทนปีนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 9 ก.ย. 65 ราคาหุ้นยังติดลบ 4. คาดแนวโน้มการเติบโตช่วงครึ่งหลังของปี หรือ ปี 2566 ยังโดดเด่น และ5. ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” มี Upside

.

โดยมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวตามที่บล.เอเซีย พลัส ระบุไว้ได้แก่ HMPRO-SCC-STEC-GPSC-RTACH-TIDLOR-AEONTS-ADVANC-PLANB และ MAJOR ทั้งนี้ Wealthy Thai จึงได้หยิบยก 5 หุ้นเด่นที่สุดจากธีมการลงทุนที่ทางบล.เอเซีย พลัสระบุไว้มาให้นักลงทุนเลือกในการพิจารณาลงทุน

.

สำหรับ 5 หุ้นเด่นที่สุดของธีมการลงทุนในครั้งนี้ ได้แก่ MAJOR-TIDLOR-ADVANC-GPSC-RATCH ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่มีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ประกอบกับราคาหุ้นลงมาต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิดการระบาดของ Covid-19 และตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นยังคงติดลบมาจนปัจจุบัน อีกทั้งผลประกอบการยังดูดีขึ้น และนักวิเคราะห์ให้คำแนะนำซื้อ

.

เริ่มลงรายละเอียดกันที่หุ้น MAJOR นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส มองว่า กำไรจะกลับมาเติบโตในไตรมาส 4/65 จากหนังฟอร์มยักษ์ที่รอเข้าฉายหลายเรื่อง อาทิ Black Panther, Shazam โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง Avatar 2 ที่น่าจับตามองหลังภาคแรกทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลที่ 2.8 พันล้านเหรียญฯ

.

ทั้งนี้กำหนดราคาเหมาะสม อิงวิธี DCF เท่ากับ 22 บาท แนะนำ “ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว” เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว รับกำไรงวดไตรมาส 2/65 ที่ออกมาสดใส และได้รับผลกระทบจำกัดจากภาวะเงินเฟ้อที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง

.

ขณะที่ TIDLOR บล.เอเชีย พลัส สรุปว่า แนวโน้มธุรกิจหลักของ TIDLOR จะดีต่อเนื่องในงวดครึ่งหลังของปี 65 นำโดยแนวโน้มสินเชื่อและรายได้นายหน้าประกันภัยเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มการขยายสาขากว่า 300 สาขาในปี 2565 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแนวโน้ม Credit cost ที่จะปรับสูงขึ้นบ้าง ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อกดดันให้แนวโน้ม NPL สินเชื่อสุทธิจะปรับสูงขึ้นบ้างในงวดครึ่งปีหลัง

.

อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 231% จากปีก่อน จากแนวโน้มสินเชื่อและรายได้ค่านายหน้าประกันภัยเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/65 จะยังดีต่อเนื่องจากแนวโน้มสินเชื่อและรายได้นายหน้าประกันภัยเติบโต ดังนั้นกำหนดราคาเป้าหมายไว้ที่ 42 บาท แนะนำ “ซื้อ” เพื่อรับการฟื้นตัวของธุรกิจ

.

ส่วน ADVANC ฝ่ายวิจัยบล.เอเชีย พลัส มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/65 มากขึ้น จากรายได้ที่คาดจะเติบโตดีขึ้นจากไตรมาส 2/65 และช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะ 1) คาดกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น หลังภาครัฐมีนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้น 5% - 8% ซึ่งจะทำให้ย่อมส่งผลบวกต่อการใช้งานบริการ

.

ภายใต้ประมาณการใหม่ ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 245 บาท เหลือ 236 บาท โดยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ADVANC เนื่องจากคาดหวังกำไรฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า และยังมีเงินปันผลที่จูงใจในอัตรา 3.8% รวมทั้งยังมี upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการจากแผนดาต้าเซนเตอร์ และการเข้าซื้อ TTTBB และ JASIF จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

.

ด้านของ GPSC นักวิเคราะห์ระบุว่า ช่วงสั้นไตรมาส 3/65 คาดกำไรสุทธิจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องหนุนหลักจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่คาดจะเพิ่มขึ้นตามการเข้าสู่ช่วง High season ของโรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) และแรงหนุนบางส่วนจากรายได้ปันผลรับ RPCL รวมถึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นจากการปรับค่า ft

.

ขณะที่ในปี 66 คาดกำไรปกติจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวราว 53.99% จากปี 65 หนุนหลักจากโครงการ ERU กำลังผลิต 250 Mwe และราคาต้นทุนก๊าซฯ ที่คาดจะเริ่มปรับตัวลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเริ่มปรับตัวสู่สภาะวะปกติ ภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานปี 65 ของ GPSC อยู่ที่ 80 บาท/หุ้น

.

ปิดท้ายที่ RATCH หลังจากที่ล่าสุดได้เข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จะช่วยหนุนผลประกอบการ โดยการเข้าลงทุนดังกล่าวถือว่าสอดคล้องกับแผนการลงทุนของ RATCH ที่จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันทีหลังการซื้อหุ้นแล้วเสร็จ ส่งผลให้กำลังการผลิตของ RATCH เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11,455 MW จากปัจจุบันที่ 9,939 MW หรือเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนราว 15.2% ซึ่งคาดดีลนี้จะเสร็จสิ้นภายในงวดไตรมาส 4/65 โดยสัดส่วนรายได้และกำไรที่สามารถรับรู้ได้ทันทีจะอยู่ที่ 450 MW

 

 


พญาหงส์