จับตาพาณิชย์บริหารราคาสินค้า หลังต้นทุนลด
พาณิชย์ ชี้สถานการณ์ราคาสินค้าดีขึ้น เผย น้ำมันลดยังลดราคาสินค้าทันทีไม่ได้ เหตุ ที่ผ่านมาขอความร่วมมือผูผลิตตรึงราคาไว้ แต่แนวโน้มอนาคตปรับลงได้
ค่าเฉลี่ยค่าใช้จ่ายของครัวเรือนไทย เดือนธ.ค. 2565ที่ผ่านมา จัดทำโดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ชี้ว่า ครัวเรือนไทยมีค่าเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 18,136 บาท โดยค่าใช้จ่ายสูงสุดอยู่ที่เดินทางค่าน้ำมัน 4,202 บาท รองลงมาก็เป็นค่าเช่าบ้าน ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าไฟฟ้า 4,018 บาท ส่วนค่าอาหารได้แก่ ค่าเนื้อสัตว์ และค่าอาหารดิลิเวอรี อย่างละประมาณ 1,700-1,600 บาท
ดังนั้น หากเเนวโน้มราคาพลังงานลดลงมีความเป็นไปได้สูงที่ค่าใช่จ่ายครัวเรือนของคนไทยจะลดลงรวมถึงแรงกดดันต่อราคาสินค้าในภาพรวมด้วย
วัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาสินค้าอื่น ๆ มีแนวโน้มดีขึ้น เพราะขณะนี้สถานการณ์การค้าดีขึ้น โดยได้รับผลบวกจากโครงการรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ เช่น ช้อปดีมีคืน การจัด“พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน”Lot22New Year Grand Sale2023 ที่เพิ่งจบไป และยังมีโครงการ “พาณิชย์ลดราคา!Grand Saleทั่วไทย” ที่ยังดำเนินการอยู่ หรือการจัดโปรโมชันของห้าง และการเปิดประเทศ ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น
“สถานการณ์การค้าที่ดีขึ้นทำให้ผู้ผลิตมียอดขายเพิ่มขึ้น 10-15%หรือบางรายการ เช่น หมวดอาหาร ยอดขายเพิ่มขึ้น 15-20%ทำให้แรงกดดันที่จะต้องปรับขึ้นราคาผ่อนคลายลง และยังพบว่าอีกหลายรายการ มีแนวโน้มราคาลดลงอีก เช่น น้ำมันปาล์ม หมู ไก่ ไข่ เป็นต้น”
ส่วนต้นทุนการผลิตสินค้าที่ลดลงจากสถานการณ์ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ค่ากระแสไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลงนั้น กรมการค้าภายในมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าปรับราคาลงตามต้นทุนที่ลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถปรับลดลงได้ในทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการต้องตรึงราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทางกรมจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการด้วย แต่แนวโน้มในอนาคตมีโอกาสที่สินค้าหลายรายการจะปรับตัวลดลงได้
สอดคล้องกับข้อมูลของสนค.ที่คาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อเดือน ก.พ.2566 ว่าจะขยายตัวอัตราที่ลดลง และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี ยกเว้นจะมีสถานการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้นเหมือนกับปีที่ผ่านมา เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน
ขณะที่ปัจจัยกระทบต่อเงินเฟ้อปี 2566 ยังเป็นสินค้ากลุ่มพลังงาน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้ม ที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเงินเฟ้อ และราคาสินค้ากลุ่มอาหารที่ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่อยู่ระดับสูงเมื่อเทียบเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าจ้างแรงงาน ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะทำให้ความต้องการบริโภคโดยรวมและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชะลอตัว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าไทยลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อของไทยไม่สูงมากนัก
ทั้งนี้ สนค.ประเมินเงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 2-3% (ค่ากลาง 2.5%) ภายใต้สมมติฐานจีดีพีขยายตัว 3.0-4.0% ราคาน้ำมันดิบดูไบบาร์เรลละ 85-95 ดอลลาร์ และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 36-37 บาทต่อดอลลาร์ยกเว้นมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงจะทบทวนอีกครั้ง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะลดความกังวลเรื่องต้นทุนสินค้าจากฝั่งโรงงานผู้ผลิต โดยราคาสินค้านำเข้าประเภทวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปลดลงตามต้นทุนพลังงาน
โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ให้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงอีก 50 สตางค์ต่อลิตร นับเป็นการปรับลดราคาดีเซลลงเป็นครั้งที่สองในเดือนก.พ. 2566 ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 34 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.2566 เป็นต้นไป ขณะที่การปรับลดราคาครั้งแรกเริ่มมีผลแล้วตั้งแต่วันนี้ 15 ก.พ. 2566
โดยมติดังกล่าวพิจารณาจากปัจจัย ราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังมีความผันผวนแต่ไม่มากนัก เฉลี่ยราคาน้ำมันดีเซล (Gas Oil) ระหว่างวันที่ 1 – 13 ก.พ.2566 อยู่ที่ 106.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ช่วยผ่อนแรงกดดันต่อราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายครัวเรือนคนไทยอย่าง มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่เห็นชอบแนวทางบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางในช่วงวิกฤตพลังงานโดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการให้ความร่วมมือของ ปตท. ในการให้ความช่วยเหลือเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน300หน่วยต่อเดือนในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. 2566วงเงินช่วยเหลือจะอยู่ที่ประมาณ4,300ล้านบาท และให้ กฟผ. สามารถนำต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงดังกล่าว ไปใช้ในการลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มเปราะบางข้างต้น โดยมอบหมายให้ กกพ. กำกับดูแลการดำเนินการต่อไป
แม้ปัจจัยต่างๆกำลังทำให้ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มลดลง ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนดีส่งผลให้ยอดขายเพิ่ม และปัจจัยสำคัญอย่างราคาพลังงานอ่อนตัวลง ซึ่งการบริหารจัดการราคาสินค้าในช่วงต้นทุนขาลงก็เป็นอีกความท้าทายของกระทรวงพาณิชย์ที่จะต้องสร้างสมดุลทั้งทางธุรกิจและการดูแลประชาชนไปพร้อมๆกัน