ห้องเม่าปีกเหล็ก

ย้อนรอย อภินิหาร BAY ลากตลาด และ DELTA จะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือไม่ ?

โดย TFEXFORFUTURE
เผยแพร่ :
64 views



          สังเกตไหมครับ ช่วงนี้เวลามีคนตั้งกระทู้เรื่อง DELTA จะต้องมีอย่างน้อย 1 คอมเมนต์ที่พิมพ์ประมาณว่า “นึกถึง BAY เลย” ,”กรณี BAY จะกลับมาอีกไหม” โดยคนที่พูดถึงเรื่องนี้จะต้องเป็นนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมามากกว่า 5 ปี และในฐานะที่เราเป็น 1 ในคนที่เกิดทัน และได้รับผลกระทบในครั้งนั้น จึงขออาสามาเล่าให้ทุกคนฟังว่า ในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น แล้ว DELTA จะมีโอกาสซ้ำรอย BAY หรือไม่ ลองพิจารณากันได้ผ่านบทความนี้

          ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 58 ได้มีอีกเหตุการณ์ที่ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวของตลาดหุ้นไทย ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้แกล้งปิดตาเอาไว้ก็คงรู้ว่าเป็นการจงใจกระทำ โดยเรื่องมีอยู่ว่าในตอนนั้นมีหุ้นตัวหนึ่งที่ไม่น่าจะมีคุณสมบัติในการอยู่ในดัชนี SET50 แต่มีภาพลวงตาที่ทำให้ยังอยู่ได้ ทำให้นักลงทุนกลุ่มหนึ่งใช้โอกาสนี้ในการเป็น “ตัวแทน” เพื่อทำราคาดัชนี SET50 ในระยะสั้น ซึ่งหุ้นตัวนั้นก็คือ “BAY” แล้วเรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร ทุกท่านเชิญรับรู้ข้อมูลได้ต่อจากนี้

รูปแสดงสัดส่วนผู้ถือหุ้นของหลักทรัพย์ BAY ในปี พ.ศ.2557


BAY หุ้นที่มี Free Float สูงแต่ต่ำ ! เม่าแพนิค

          “ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดต้องมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารหรือถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ธุรกิจ (Free Float) > 15% และสำหรับการบรรจุเข้าเป็นสมาชิกของดัชนี SET50 ต้อง > 20%” ดังนั้น หากดูจากรูป ณ ช่วงเวลานั้น BAY มีสัดส่วน Free Float สูงถึง 28% ทำให้ผ่านเกณฑ์ทั้งสองกรณีอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วทำไมถึงมีแต่นักลงทุนพูดว่า BAY มี Free Float ที่ต่ำมาก เขาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ? คำตอบคือ เปล่าเลยครับ เพราะจากตารางที่เห็นมีนัยแฝงอยู่ ดังนี้



          จากในข่าวจะพบว่า ช่วงนั้นทาง BTMU ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ของ BAY เป็นสัดส่วน 72% และทำให้กลุ่มรัตน์รักษ์กลายเป็นผู้ถือหุ้นรองลงมาที่ 25% โดยในส่วนนี้แหละที่เป็นประเด็น ! เพราะพวกเขาทั้งกลุ่มถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Flee Float ที่เราเห็น (ลำดับ 2-13) ทั้ง ๆ ที่หากมองกันตามสมมุติฐานที่ว่า คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มไม่ขายหุ้นออกมาสู่ตลาด ดังนั้น ตัวเลข 72 + 25 = 97% จะเป็นตัวเลขของสัดส่วนหุ้นที่ไม่หมุนเวียน ทำให้จำนวนหุ้นที่เหลืออยู่ในมือรายย่อยคนอื่นจริง ๆ เพียงไม่ถึง 3% เท่านั้น กอปกับช่วงนั้นมีแต่คนวิเคราะห์ว่าเจ้าของคนใหม่ต้องการทำ Tender Offer และเอาออกจากตลาด จึงทำให้นักลงทุนไม่มีความต้องถือหุ้นตัวนี้ไว้ และแทบไม่ซื้อ-ขายกันเลย ซึ่งนี้คือเหตุผลที่ทำไมตอนนั้นเขาถึงมองว่า BAY มีสภาพคล่องน้อยและ Free Float ต่ำ แต่ยังสามารถ Listed อยู่ในดัชนี SET50 ได้ 



เรื่องแบบนี้มีหรือที่จะมีคนไม่เห็นโอกาส เจ้าคิกคัก

          หากย้อนกลับไปดูจะพบว่าในช่วงปลายปี 57 หุ้น BAY มีปริมาณการซื้อขายต่อวันเพียงแค่หลักแสนหุ้น ส่วนราคาก็วนเวียนอยู่แถว 40 กว่าบาทใกล้เคียงกับราคา Tender Offer (39 บาท) แต่แล้วก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นที่อยู่ ๆ ในวันที่ 9 ม.ค. 58 ได้มี Volume ปริศนาจำนวน 5 ล้านหุ้น (ประมาณ 10 เท่าของค่าเฉลี่ยต่อวัน) ลาก BAY ไปปิดที่ 50 บาท และจากนั้นในแต่ละวัน ก็มี Volume เข้ามาซื้อ-ขายกันวันละ 5 ล้านหุ้น และค่อย ๆ ลาก BAY ไปวันละ 5 บาท จนถึงจุดพีคสุด ในวันที่ 23 ม.ค. ที่ทำกันแบบไม่ต้องแคร์สายตาใครอีกต่อไป โดยมี Volume ประมาณ 10 ล้านหุ้น ปาเข้ามาลาก BAY ขึ้นไปถึง 90 บาท และเป็นการแตะ Ceiling ของหุ้นใน SET50 ที่เราแทบไม่เคยมีโอกาสได้เห็น และนี้จึงเป็นเรื่อง Talk of the town ในตอนนั้น

ใช้เงิน 900 ล้าน ลาก SET ขึ้นไป 16 จุด (SET50 ประมาณ 10 กว่าจุด) เม่าออกรถ

          หลายคนต่างก็หาเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาพยายามแก้ต่างให้กับเหตุการณ์นี้ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่ดีพอมาอธิบายราคา BAY ที่ 100 บาท (นอกจากข่าวลือบ้าๆ ว่า BTMU จะ เทนเดอร์ที่ราคา 100 บาท ซึ่งใครเชื่อก็ … เต็มที และข่าวนี้ก็ถูกชี้แจง+ปฏิเสธในภายในหลัง) ดังนั้นมันจึงเหลือเพียงเหตุผลเดียวที่มีน้ำหนักเพียงพอ คือ มีคนตั้งใจใช้ BAY ในการกำหนดทิศทางดัชนี SET50 เพื่อผลประโยชน์ในทางอื่น เช่น การทำกำไรในตลาด TFEX โดยทุกอย่างดูสมเหตสมผลขึ้น เพราะ BAY ถือเป็นหุ้นที่เบาหวิว แต่ส่งผลอย่างหนักหน่วงกับดัชนี โดยใช้เม็ดเงินแค่ 900 ล้านบาท ที่อาจยกหุ้นใหญ่ได้แค่ 2-3 ช่อง แต่สามารถผลักราคา BAY ขึ้นไป Ceiling และส่งผลต่อดัชนีมากกว่า 10 จุด !  และจากนั้นผ่านไปอีกแค่ 2-3 เดือน BAY ก็กลับมาเล่นกันอยู่ 40-50 บาทเช่นเดิม และนี้คือปรากฏการณ์ BAY ที่เป็นที่กล่าวขานกันจวบจนถึงปัจจุบัน 

            ทีนี้เราลองมาวิเคราะห์กันต่อว่า …


TFEXFORFUTURE