Banking Sector : จำนวนรถยนต์ถูกยึดมากขึ้นกดดันสินเชื่อเช่าซื้อ
เราจัดงาน KS Expert Series โดยมีนักลงทุนสถาบันกว่า 40 คน และมีผู้บริหาร 2 รายจาก บมจ.สหการประมูล โดยคุณวรัญญู ศิลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคุณศราวุธ จารุจินดา กรรมการบริหาร เข้าร่วมในงานครั้งนี้ ผู้บริหารทั้ง 2 คาดว่าจำนวนรถยนต์ที่ถูกยึดจะเพิ่มขึ้น YTD และแนวโน้มอาจดำเนินต่อไปในอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้บริหารระบุว่าจำนวนรถยนต์ที่ถูกยึดจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 คัน/ปี ซึ่ง AUCT เป็นลานประมูลที่ใหญ่ที่สุดและครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ
ผู้บริหารมองว่าราคารถยนต์มือสองได้รับผลกระทบจาก 1) อุปทานรถยนต์ที่ถูกยึดสูงขึ้นจากสถาบันการเงิน 2) อัตราการจบประมูลที่ลดลงเหลือ 50% ในปี 2566 จากจุดสูงสุดที่ 70-80% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และ 3) อุปสงค์ที่ทรงตัวจากดีลเลอร์รถยนต์มือสองตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ราคารถยนต์นั่งส่วนบุคคลโดยปกติแล้วจะมีความผันผวนมากกว่ารถกระบะ
สถาบันการเงินเข้มงวดขึ้นเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ ผู้บริหารระบุว่าสถาบันการเงินเริ่มเข้มงวดเรื่องการอนุมัติสินเชื่อโดยลดอัตราสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) และเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ผู้บริหารมองว่าสถาบันการเงินยังคงสามารถจัดการกับผลกระทบจากราคารถยนต์มือสองที่ลดลงได้ด้วยการทยอยยึดรถยนต์จากหนี้เสีย (NPL)
ผลกระทบเชิงลบต่อธนาคารขนาดเล็ก เรามองว่าประเด็นสำคัญจากผู้บริหาร AUCT มีผลลบต่อธนาคารขนาดเล็ก ซึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อสินเชื่อเช่าซื้อ (HP) สูง เช่น KKP และ TISCO เราคาดว่าผลขาดทุนของรถยนต์ที่ถูกยึดจะยังคงเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2566 และกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ขณะที่ต้นทุนดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่สูงขึ้นยังคงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันกำไรในครึ่งหลังของปี 2566 ขณะเดียวกัน ธุรกิจลานประมูลจะยังคงได้ประโยชน์จากจำนวนรถยนต์ถูกยึดที่เพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2566-67
หุ้นเด่น BBL (ซื้อ : TP 196.00 บาท) KTB (ซื้อ : TP 24.75 บาท)
เราคงมุมมองเชิงบวกต่อกล่มธนาคาร โดยเลือก BBL และ KTB เป็นหุ้นเด่นของเรา เรามองว่ากล่มธนาคารน่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2567 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และอัตราตอบแทนเงินปันผลที่สูงประมาณ 5-6% ในปี 2566-67 เราชอบธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มากกว่าธนาคารขนาดเล็ก
