ถึงเวลา ‘หุ้นเล็ก’ วิ่ง 3ปัจจัยหนุนติดลมบน
ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มขนาดกลางและเล็ก ถือได้ว่าปรับตัวโดดเด่น (Outperform) จากหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในกลุ่ม SET100 แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1 ที่ตลาดปรับฐาน
ดัชนีของหุ้นนอกกลุ่ม SET100 หรือ “ดัชนี sSET” และดัชนีตลาด MAI จะปรับตัวลดลงแรงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยลดลง 35% และ 30% ตามลำดับ
แต่เมื่อพิจารณาภาพในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนนับแต่ต้นปี (YTD) หรือผลตอบแทนในช่วงไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ‘หุ้นขนาดกลาง-เล็ก’ สามารถปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นกว่าทั้งสิ้น อย่างในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานี้ ดัชนี MAI เพิ่มขึ้น 4.8% ส่วนดัชนี sSET เพิ่มขึ้น 1.9% ขณะที่ดัชนี SET และ SET100 ติดลบ 3.4% และ 7.3% ตามลำดับ
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ในสภาวะที่การเติบโตของตลาดโดยภาพรวมต่ำ นักลงทุนจะยอมจ่ายพรีเมียมให้กับหุ้นที่ยังเติบโตได้ ซึ่งก็เข้ากับหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีลักษณะเฉพาะและภาพเช่นนั้น และเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐาน สภาพคล่อง และมูลค่าหุ้น จะเห็นว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กต่างได้รับอานิสงส์เชิงบวกทั้งสิ้น
สำหรับประเด็นของ ‘ปัจจัยพื้นฐาน’ จะเห็นว่าหลังจบการปรับฐานรอบใหญ่ของตลาดในไตรมาสแรก หุ้นขนาดใหญ่ยังมีสัญญาณของการถูกปรับลดประมาณการอย่างต่อเนื่อง ผิดกับหุ้นกลาง-เล็กซึ่งถูกปรับลดประมาณการต่ำกว่า หรือบางตัวกลับได้รับการเพิ่มประมาณการด้วย และเมื่อพิจารณาในมุมของการเติบโต จะเห็นว่าแนวโน้มในปี 2564 ของหุ้นกลุ่ม SET50 กำไรน่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 20% แต่หุ้นกลุ่ม sSET กลับมีการคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตได้มากกว่ากลุ่ม SET50 ถึง 3 เท่า แม้ว่าฐานของหุ้น SET50 ในปีนี้จะต่ำกว่า
ถัดมาในเชิง ‘มูลค่าหุ้น’ จะเห็นว่าค่า P/E ของหุ้นกลุ่ม SET50 ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เทียบกับ P/E ของหุ้นกลุ่ม sSET ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย หรือหากจะพิจารณาในเชิงของความสัมพันธ์ระหว่างค่า P/E ของ SET50 และ sSET ก็สะท้อนว่ามูลค่าหุ้นกลุ่ม sSET โดยเฉลี่ยยังถูกกว่าเช่นกัน
ประเด็นสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ‘สภาพคล่อง’ นับตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ปริมาณเงิน M2 (ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง) เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเงิน M2 มักจะมีความสัมพันธ์สูงกับการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายบุคคล
“เชื่อว่าโมเมนตัมของหุ้นกลาง-เล็ก น่าจะยังดีต่อเนื่องในไตรมาส 4 นี้ อย่างเดือนล่าสุด ปริมาณเงิน M2 ก็ยังคงเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยก็ยังคงซื้อสุทธิเกือบทุกวัน ซึ่งการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยก็มักจะสัมพันธ์กับหุ้นกลุ่มกลาง-เล็ก นอกจากนี้หากประเมินแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 ของกลุ่มหุ้นใหญ่ มีโอกาสที่นักลงทุนจะผิดหวังได้ เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นที่ฟื้นตัวขึ้นมาด้วยความคาดหวังที่สูงมาก”
ด้าน สุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ราคาหุ้นขนาดเล็กในช่วงการฟื้นตัวหลังวิกฤติโควิด-19 จะดีกว่าหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากการที่ราคาหุ้นเล็กเผชิญแรงขายมากกว่าในช่วงที่ตลาดปรับฐานลงแรง
ขณะเดียวกันหุ้นขนาดเล็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากกว่า มักจะมีทิศทางราคาหุ้นที่ดีในวัฏจักรขาขึ้น จากการที่ตลาดเริ่มรับความเสี่ยงมากขึ้น และตลาดมีสภาพคล่องจำนวนมากเหลืออยู่
ทิศทางที่ดีของหุ้นขนาดเล็กจะดำเนินไปจนกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีนโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยพิจารณาจากการปรับตัวในอดีตที่ผ่านมา 3 ช่วง คือ ปี 2547 – 2550 ปี 2556 – 2557 และปี 2559 – 2562
ทั้งนี้ การที่ Fed อาจคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ไปจนถึงปี 2565 และดำเนินมาตรการเชิงผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงประเมินว่าหุ้นขนาดเล็กจะมีทิศทางราคาที่ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ต่อไป ดังนั้นการขายทำกำไรหุ้นขนาดเล็กออกมา จากการคาดการณ์ในประเด็นความสำเร็จของวัคซีนต้านโควิด-19 จะเป็นจุดกลับเข้าซื้อที่ดี
การพิจารณาเพื่อเข้าลงทุนในหุ้นกลาง-เล็ก ฝั่งของ บล.ทรีนีตี้ มองว่า หุ้นที่จะเข้าลงทุนควรมีการเติบโตของกำไรที่ดีต่อเนื่องในปี 2563 - 2564 หรืออาจจะเป็นหุ้นที่กำไรปี 2564 จะกลับไปสูงกว่าปี 2562 ส่วนบล.กสิกร เน้นเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด รวมถึงหุ้นที่ได้แรงหนุนจากวัคซีน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก