ห้องเม่าปีกเหล็ก

KCG เจ้าของคุกกี้กล่องแดง “อิมพีเรียล” ขนมพันล้าน...กำลังจะเข้าตลาดหุ้น

โดย ฟาริดา
เผยแพร่ :
345 views

KCG เจ้าของคุกกี้กล่องแดง “อิมพีเรียล”

ขนมพันล้าน...กำลังจะเข้าตลาดหุ้น

 

.

ขนมขบเคี้ยว ยังเป็นที่นิยมของคนไทย ล่าสุดกำลังจะมีหนึ่งในบริษัทชั้นนำ เจ้าแบรนด์ขนมขบเคี้ยวยอดฮิต และอยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน อย่างบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ซึ่ง KCG จะมีความน่าสนใจแค่ไหน คอลัมน์ Next IPO ประจำวันอังคารในครั้งนี้ Wealthy Thai รวบรวมมาให้แล้ว

.

สำหรับ KCG เป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเนย-ชีส ภายใต้แบรนด์ อิมพีเรียล (Imperial) และอลาวรี่ (Allowrie) ผลิตและจัดจำหน่ายบิสกิต และเป็นผู้นำเข้าวัตถุดิบเบเกอรี่และอาหารตะวันตกแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารมายาวนานกว่า 64 ปี

.

ทั้งนี้บริษัทมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในประเทศไทย ได้แก่ “Allowrie” “Imperial“ “Rosy” “Violet” และ “Sunquick” บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารส่วนใหญ่ภายใต้แบรนด์ที่บริษัทเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเอง ซึ่งมีการปรับให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า

.

โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัท แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เนย (Butter) และเนยแข็ง (ชีส) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่แปรรูปมาจากนม เช่น นมพร้อมดื่ม ครีมที่พร้อมจะเอามาตีครีม (Whipping Cream) ครีมชีส และนมเปรี้ยว (Yoghurt)

.

2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ (Food and Bakery Ingredients) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประกอบด้วย (1) ผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมของอาหาร (Food Ingredients) (เช่น น้ำมันมะกอก และมายองเนส) ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารทะเล (Meat and Seafood)

.

(2) ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ (เช่น แป้งเค้ก แป้งมิกซ์ ยีสต์ ไส้ขนมปังรสชาติต่างๆ น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง ผงฟู และสารเสริมคุณภาพอาหารต่างๆ เป็นต้น) (3) ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้น รวมถึง (4) อุปกรณ์ในการทำเบเกอรี่ และอุปกรณ์ประกอบอาหาร ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวจากต่างประเทศ มาจัดจำหน่ายในประเทศไทย

.

3.กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ประกอบด้วย (1) ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ซึ่งหมายถึง ขนมอบที่ทำด้วยแป้งสาลี ไข่ เนย น้ำตาล มีลักษณะเป็นชิ้นเล็กๆ รูปร่างแบน มีทั้งแบบอบกรอบและแบบนุ่ม (2) ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ ซึ่งหมายถึง ขนมอบที่มีรูปร่างเป็นแผ่นแบน ลักษณะเนื้อกรอบ แข็ง แยกเป็นชั้น อาจมีไส้หรือไม่มีก็ได้ และ (3) ผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ ซึ่งหมายถึง ขนมอบที่มีลักษณะเป็นแผ่นบาง กรอบ โดยส่วนใหญ่เวเฟอร์อาจมี 2 หรือ 3 แผ่นประกบกันสอดไส้ครีม หรือไส้ครีมรสชาติต่างๆ

.

ทั้งนี้หากอ้างอิงตามข้อมูลของ Euromonitor บริษัทเป็นผู้นำสำหรับผลิตภัณฑ์เนยและชีส โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ใน 5 อันดับแรก ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์บิสกิต ในปี 2564 นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจและเครือข่ายกับผู้จัดหาวัตถุดิบทั่วโลก ซึ่งบริษัทนำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ส่งผลให้มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

.

ขณะที่ช่องทางการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (B2C) ผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าทั่วไป แพลตฟอร์มออนไลน์ และช่องทางการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) ให้กับผู้ผลิตอาหาร ผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร รวมถึงการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก โดยบริษัทมีการส่งออกสินค้าของบริษัทผ่านตัวแทนจำหน่ายที่แต่งตั้งในหลากหลายประเทศ เช่น ประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และภูมิภาคอื่นๆ

.

ส่วนรายได้ของบริษัทในงวดปี 2562 - 2564 และงวด 9 เดือนปี 2564-2565 ส่วนใหญ่ประมาณ 98.2 – 99.6% ของรายได้รวม มาจากรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท แบ่งเป็น 1. รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม 57.9 – 62.1% ของรายได้รวม 2. รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ 26.3 – 28.8% ของรายได้รวม และ 3. รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์บิสกิต 10.3 – 15.4% ของรายได้รวม

.

ขณะที่บริษัทมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (B2C) ช่องทางการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) และช่องทางส่งออก (Export) โดยในงวดปี 2562 - 2564 และงวด 9เดือนปี 2564 และ 2565 มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทาง B2C คิดเป็นสัดส่วน 49.7 – 59.2%, B2B 36.5 – 45.8% และ Export 3.6 – 4.5% ของรายได้จากการขาย

.

นอกจากนี้ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจการนำเข้าและจำหน่ายอาหารแช่แข็ง บริษัทจึงได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท อินโดกูนา (ประเทศไทย) จำกัด (อินโดกูนา) ในเดือนมีนาคม 2565 ถือหุ้น 99.9% โดยอินโดกูนาประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารแช่แข็ง

.

รวมถึงการเก็บถนอม และตัดแต่งบรรจุเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อสุกร เนื้อแกะ เนื้อแพะ รวมถึงโคลคัท สัตว์ปีกสด เช่น เนื้อเป็ด ไก่ ห่าน นก และอาหารทะเล เช่น ล็อบเตอร์ โดยการแช่เย็นและเยือกแข็ง และจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง (HoReCa) เป็นต้น

.

KCG มีวิสัยทัศน์ “เป็นบริษัทชั้นนำ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารรสเลิศ รวมทั้งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มุ่งมั่น เพื่อการดำเนินชีวิตที่ทันสมัย” โดยมีเป้าหมาย เน้นความสำคัญเรื่องคุณภาพในธุรกิจอาหาร รวมถึงการขยายกำลังการผลิต และบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ

.

ทั้งนี้มุ่งหวังว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่พร้อมอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้บริโภคทั้งในบ้าน บนโต๊ะอาหาร ร้านอาหาร และในทุกช่องทางทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัยรวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพด้วย

.

KCG กำลังเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 170 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 30.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO มีวัตถุประสงค์ระดมทุน เพิ่มศักยภาพศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าตลอดจนการขยายกำลังการผลิต และส่วนที่เหลือจะนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

 

 


ฟาริดา