สำรวจพื้นฐาน 3 หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์
เมื่อดอกเบี้ยจะเข้าสู่ขาลง-เงินเฟ้อหดตัว

.
ตามที่นักลงทุนรายย่อยหลายคนได้ติดตามความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ จะทราบกันดีว่าตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวลดลงด้วยปัจจัยหลายๆด้าน ซึ่งนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นก็เป็นปัจจัยลบที่มีผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทด้วยเช่นกัน
.
แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ก็ได้มีการนัดหมายกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อหารือถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยซึ่งมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลง แต่จะส่งผลต่อกลุ่มไฟแนนซ์มากน้อยเพียงใดไปดูมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน
.
โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่านายกฯได้เข้าหารือกับผู้ว่าธปท. ในหลายประเด็นรวมถึงดอกเบี้ยนโยบายซึ่งตลาดมองว่ามีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงหลังจากนี้ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและเงินเฟ้อไทยที่หดตัวต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารออมสินนําร่องลดดอกเบี้ย MRR แล้วโดยมอง “บวก” ต่อกลุ่มไฟแนนซ์
.
ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก ROE ผ่านจุดตํ่าสุดแล้วคาดเพิ่มขึ้นเป็น 17% ในปีนี้และ 18-19% ในปี 2568-2569, คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นหลังสิ้นสุดการ Clean up งบดุลอย่างหนักในไตรมาส 4/66, คาดกําไรเติบโต 24% ในปีนี้จากการขยายตัวของสินเชื่อ 14% และ Credit cost ที่ลดลง รวมไปถึงมูลค่าหุ้นที่ “ไม่แพง” จึงแนะนํา “ซื้อ” MTC และ TIDLOR ขณะที่ในทางสถิติกลุ่มไฟแนนซ์มักให้ผลตอบแทนเด่นในช่วงม.ค. ไปจนถึงไตรมาส 1/67
.
สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัว เริ่มกันที่ TIDLOR บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า TIDLOR เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นไฟแนนซ์ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ประกอบกับมีคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแรงกว่าคู่แข่ง สะท้อนจากระดับ Coverage Ratio และ NPL ที่ต่ำกว่าคู่แข่งมาก
.
นอกจากนี้ ภาพรวมของอุตสาหกรรมจะมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากมาตรการคุมหนี้นอกระบบ, ผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ส่วนในแง่มูลค่าราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับที่ไม่สูง จึงยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บาท
.
ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 จะอยู่ที่ 4.51 พันล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า 18.6% โดยมีแรงหนุนจากทั้งความต้องการสินเชื่อที่ยังคงแข็งแรง รวมไปถึงการตั้งสำรองที่จะเริ่มทยอยผ่อนคลายลง หลังจากได้รับอานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
.
ถัดมาที่ MTC บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท โดย MTC เป็นหนึ่งในหุ้นสินเชื่อที่มีความน่าสนใจ จากความสามารถในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อส่งผ่านภาระดอกเบี้ยจ่ายให้กับลูกหนี้ โดยที่ไม่กระทบกับคุณภาพสินทรัพย์มากนัก
.
ขณะที่ผลดำเนินงานไตรมาส 4/66 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งช่วงเดียวกันและไตรมาสก่อนหน้า หลังคุณภาพสินทรัพย์มีพัฒนาการดีขึ้นและความต้องการสินเชื่อจำนำทะเบียนยังมีอยู่มาก ทำให้บริษัทมีช่องว่างในการขยายธุรกิจโดยที่ไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อแข่งกับผู้เล่นรายอื่น คาดกำไรสุทธิปี 66 ที่ 4.74 พันล้านบาท ลดลง 6.8% และจะกลับมาโต 17.8% ในปี 2567 เป็น 5.59 พันล้านบาท หลังการตั้งสำรองลดต่ำลง
.
สุดท้าย SAWAD บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองการตั้งสำรองของ SAWAD ในปี 67 จะเพิ่มสูงขึ้นและต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้นไปก่อนหน้า แต่การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยน่าจะสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองและต้นทุนทางการเงิน
.
รวมไปถึงในปี 67 จะมีรับรู้กำไรจาก บ.เงินสดทันใจเต็มปี หลังจากซื้อคืนมาจาก ธ.ออมสิน และทำให้สินเชื่อเติบโตสูงมากจากการรวมสินทรัพย์และหนี้สินของ บ.เงินสดทันใจเข้ามาในงบของ SAWAD อย่างไรก็ดีคาดว่ากำไรสุทธิปี 67 จะอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 7.1% และแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 51 บาท
