2 ข้อคิดเตือนใจ ก่อนตัดสินใจรีบซื้อหุ้น

.
ย้อนกลับไปตอนที่โลกเผชิญกับวิกฤติโควิดใหม่ ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกทิ้งดิ่งกันเป็นว่าเล่น ราคาหุ้นทั้งตลาดเมื่อเทียบกับกำไรแล้ว ถือว่ามีราคาถูกกว่าในช่วงก่อนเกิดวิกฤติค่อนข้างมาก
.
แต่หลังจากนั้นไม่นานตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง ด้วยนโยบายทางการเงิน การลดอัตราดอกเบี้ย และการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
.
ในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นแรง ๆ ใครที่มีหุ้นติดมืออยู่ก็จะรู้สึกดีใจกับผลตอบแทนที่ได้รับมหาศาล แต่สำหรับคนที่ไม่มีหุ้นติดตัวเลยก็คงจะรู้สึกเสียดาย “เสียดายที่ไม่ได้รีบซื้อหุ้น ตั้งแต่ตอนที่มันยังราคาถูก”
.

.
“วันนี้ลดราคาวันสุดท้ายนะคะ พลาดแล้วพลาดเลยนะ” “ดูก่อนได้ค่ะ ซื้อ 1 แถม 2 วันนี้วันเดียว” เราคงคุ้นหูกับประโยคแนวนี้กันดี เมื่อเราต้องตัดสินใจในระยะเวลาอันสั้น ความคิดของเราจะแคบลงทันที
.

.
เคยเห็นมั้ยครับคนที่ซื้อเครื่องออกกำลังกายไป แต่ใช้มันเป็นราวตากผ้า หรือคนที่ซื้อหนังสือกองเท่าภูเขา แต่สุดท้ายไม่ได้อ่านซักที
.
.

.

.
บางครั้งเราเห็นราคาหุ้นดิ่งลงจากจุดสูงสุดมามากแล้ว ทำให้คิดว่าราคาหุ้นตอนนี้ถูกมากแล้ว แต่มันอาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะความถูกแพงของราคาหุ้นไม่ได้ดูที่ราคาเพียงอย่างเดียว
.
ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องดู เช่น ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ดีขึ้นหรือแย่ลง ? เพราะถ้าบริษัทมีกำไรลดลงมาโดยตลอด ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้นจะทิ้งตัวลงมาเรื่อย ๆ
.
อีกปัจจัย คือ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปแค่ไหน ? สมมุติว่าผู้บริโภคชอบซื้อสินค้าออนไลน์และมีแนวโน้มจะเลิกซื้อสินค้าออฟไลน์ แต่บริษัทยังคงขายของอยู่แต่ในช่องทางออฟไลน์เดิม ๆ ไม่ปรับตัวตามผู้บริโภค
.
การรีบซื้อหุ้นประเภทนี้อาจทำให้เราเจ็บตัวมากกว่าที่จะได้กำไร เพราะราคาหุ้นที่เราคิดว่าถูกมากแล้ว อาจยังมีถูกกว่านี้ได้อีก
.

.
บ่อยครั้งการไม่รีบซื้อหุ้น อาจทำให้เรารู้สึกแย่เพราะพลาดโอกาสได้กำไรอันงดงามไป แต่นี่มันเป็นเพียงแค่การสูญเสียโอกาสเท่านั้น ในความเป็นจริงเรายังไม่ได้เสียเงินเลย แม้แต่บาทเดียว
.
อีกมุมหนึ่ง ถ้าเรารีบซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมาเยอะ ๆ แล้วมารู้ทีหลังว่าหุ้นตัวนั้นไม่ใช่บริษัทที่น่าสนใจอะไรเลย แถมยังมีจุดอ่อนเต็มไปหมด งบการเงินก็ไม่แข็งแรง ถึงคราวนี้แหละเราจะขาดทุนจริง ๆ แทนแล้ว
.
.

.

.
