SCGC เผยโครงการ LSP เวียดนาม COD ปี 66-เล็งขยายโรงงานอินโดฯอีกแสนลบ.

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยในงาน "โชว์ศักยภาพผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน" ว่า ความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ LSP ในเวียดนาม ขณะนี้การก่อสร้างเดินหน้าไปตามแผน คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 66
.
ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นกว่า 40% เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ 6.9 ล้านตันต่อปี โดยได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินเครื่องจักรซึ่งคาดใช้เงินลงทุนปีนี้อีกราว 50,000 ล้านบาท
.
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายไปสู่โครงการ LSP เฟส 2 เพื่อรองรับการเติบโตของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากปัจจุบันโครงการ LSP 1 ทดแทนการนำเข้าไม่ถึง 30% ทำให้ยังต้องมีการนำเข้าอีก 70% หากในปีถัดไปโครงการ LSP 2 เกิดขึ้นก็จะช่วยตอบโจทย์ดังกล่าวได้
.
ด้านโรงงานผลิตที่อินโดนีเซีย ที่เป็นการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ อีก 2 ราย โดยบริษัทถือหุ้นราว 30% ก็มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่ม คาดว่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า และ น่าจะใช้เงินลงทุนราว 1 แสนล้านบาท
.
ขณะที่นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าการนำ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
.
จากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้มีการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และ ร่างหนังสือชี้ชวน(ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อก.ล.ต.ไป เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่ง
.
โดย SCGC มีแผนนำเงินที่ได้จากการ IPO ไปใช้ในระยะสั้น กลาง ยาว โดยหลักจะนำไปปรับโครงสร้างทางการเงิน หรือ ใช้คืนเงินกู้ให้กับ บริษัทแม่ หรือ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ที่ได้นำมาลงทุนโครงการ LSP ในเวียดนาม มูลค่าเงินลงทุนราว 1.6-1.7 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อใช้คืนแล้วจะส่งผลให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 เท่า และ จะช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนได้มากขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการในอนาคต
.
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 ยังมีปัจจัยที่ท้าทายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง การล็อกดาวน์ในประเทศจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อดีมานด์ ทำให้แม้ว่าบริษัทจะมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้มาก เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้
.
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งทุกๆ 1 บาท มีผลต่อกำไร 800-1,000 ล้านบาท/ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศ 50% และ ในประเทศ 50%
.
นอกจากนี้นายธนวงษ์ กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจุบัน SCGC จัดจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่โมโนเมอร์ต้นน้ำและพอลิเมอร์ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องของปิโตรเคมี และ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวม 6.9 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน (ณ เดือนธ.ค.64) 19% หรือ เกือบ 1 ใน 5
.
โดยหนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ SCGC คือ การมีฐานผลิตใน 3 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ซึ่งมีประชากรรวมกันประมาณ 440 ล้านคน หรือ ประมาณ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในอาเซียน มีสัดส่วนรายได้จากอาเซียน คิดเป็นประมาณ 21 % โดยประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตหลัก
.
ส่วนในอินโดนีเซียเป็นการลงทุนผ่านการถือหุ้น 30% ใน Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP) และ ในเวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมี (Long Son Petrochemical Complex) ซึ่งบริษัทถือเป็นรายแรกที่เข้าไปลงทุน (first mover) โดยภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยคาดการณ์เวียดนามและอินโดนีเซียจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 5–6% ต่อปี ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP ทั่วโลกเกือบเท่าตัว
.
นอกจากนี้ อัตราการใช้พอลิเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน (ณ 31 ธ.ค.64) อยู่ที่ 26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 2-3 เท่า ตลาดอาเซียนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามยังต้องนำเข้าพอลิเมอร์ประมาณ 75% และอินโดนีเซียประมาณ 50% เนื่องจากมีกำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นโอกาสของ SCGC ที่จะใช้ความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว และ สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า
.
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และธุรกิจของ SCGC ถือว่ามีศักยภาพและ โอกาสการเติบโตทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยธุรกิจเคมีภัณฑ์จะถูกขับเคลื่อน และ ได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ที่สำคัญ ๆ ของโลกและภูมิภาคอาเซียน
.
เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เนื่องจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด และการดูแลรักษาสุขภาพ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการความต้องการใช้เคมีภัณฑ์ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของ SCGC ที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA)
.
รวมไปถึงการพัฒนา Green Innovation เช่น พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้าน Low Carbon โดยในปี 64 บริษัทฯ มีสัดส่วนสินค้า HVA คิดเป็นประมาณ 36% ของรายได้รวมของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังจะขยายสินค้าในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer เป็น 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 73
.
ด้านพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer ได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Reduce, Recyclable, Recycle และ Renewable เช่น การพัฒนา SMX Technology ทำให้เม็ดพลาสติกแข็งแรงทนทานขึ้น 20% สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกในการผลิต การพัฒนาเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin : PCR) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระบบการตรวจสอบย้อนกลับสากล โดยร่วมกับเจ้าของแบรนด์สินค้าชั้นนำหลายราย เป็นต้น
.
นอกจากนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ตลอดซัพพลายเชน โดยนำ Data Technology หรือเทคโนโลยีด้านข้อมูล มารวมกับ Operational Technology หรือเทคโนโลยีด้านการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับ Operational Excellence ไปอีกขั้น
.
อีกทั้งการนำระบบแมชชีน เลิร์นนิ่ง มาใช้เพื่อคาดการณ์ราคาวัตถุดิบ การใช้ Optimization Model เพื่อใช้ในการตัดสินใจเดินเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบ Realtime Performance Management เพื่อให้เห็นข้อมูลการเดินเครื่องจักรอย่างรวดเร็วสามารถปรับเปลี่ยนการผลิตให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดได้อย่างทันท่วงที รวมถึงระบบ Digital Reliability Platform (DRP) ช่วยดูแลการบริหารจัดการประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้เราสามารถเดินเครื่องจักรได้ดี บำรุงรักษาเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบ Digital Commerce Platform (DCP) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายและทำให้ตอบสนองลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
