รายได้รัฐบาล: เพียงพอขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหรือไม่?
ปีงบประมาณ 2568 รัฐมีรายได้ 3.4 ล้านล้านบาทต่อปี
แต่กลับ “ขาดดุลติดต่อกันถึง 20 ปี”
คำถามคือ... เงินภาษีที่เราจ่ายกันทุกปี เพียงพอจริงหรือในการพาประเทศก้าวไปข้างหน้า?

แหล่งรายได้ของรัฐ
รายได้ของรัฐบาลแบ่งเป็น 2 ส่วน (1)รายได้จากภาษี และ (2) รายได้ที่มิใช่ภาษี เช่น กำไรของรัฐวิสาหกิจและค่าธรรมเนียมจากหน่วยงานรัฐ
รายได้ภาษีคิดเป็นกว่า 88% ของรายได้ทั้งหมด
โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ
• ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 28%
• ภาษีเงินได้นิติบุคคล 23%
• ภาษีสรรพสามิต 18%
• ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 12%
• ภาษีศุลกากรนำเข้า–ส่งออก 4%
แม้ภาพรวมรายได้จะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 2.7% แต่ยังไม่ทันกับรายจ่ายที่โตเร็วกว่า
พูดง่าย ๆ คือ “รายได้เดิน แต่รายจ่ายวิ่ง”
รายได้รัฐเพื่ออะไร?
รายได้ของรัฐบาลไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี แต่คือ “พลังขับเคลื่อนประเทศ” ที่หล่อเลี้ยงทุกมิติของชีวิตเรา
ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน — ถนน รถไฟฟ้า สนามบิน ท่าเรือ
บริการสาธารณะ — การศึกษา สาธารณสุข และความมั่นคง
ลดความเหลื่อมล้ำ — บัตรคนจน เบี้ยผู้สูงอายุ ช่วยเหลือเกษตรกร
กระตุ้นเศรษฐกิจ — โครงการ “คนละครึ่งพลัส”, “ช้อปดีมีคืน”, สนับสนุน SMEs
รักษาเสถียรภาพการคลัง — เพื่อความเชื่อมั่นและรับมือวิกฤต
ปัญหาการจัดเก็บรายได้ที่รัฐต้องเผชิญ
แม้รัฐมีรายได้มหาศาล แต่ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด
• ฐานภาษีแคบ พึ่งพาภาษีทางอ้อมจากการบริโภคมากถึง 51% ขณะที่ภาษีทางตรงจากรายได้มีเพียง 36% ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่า
• สิทธิประโยชน์ภาษีมากเกินไป เช่น ค่าลดหย่อนภาษีที่ทำให้รายได้รัฐหายไปหลายแสนล้านบาท
• เศรษฐกิจนอกระบบใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากอยู่นอกระบบ VAT หากรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี
• รายได้ภาษีต่อ GDP ต่ำ เพียง 14% เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่เฉลี่ยราว 24%
• ขาดดุลการคลังต่อเนื่อง เฉลี่ย 3.9% ของ GDP ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นและใกล้เพดาน 70%
ประเทศที่เก็บภาษีได้น้อย มักต้องใช้หนี้มาก
และประเทศที่ใช้หนี้มาก... มักเหลือพื้นที่น้อยลงในการลงทุนอนาคต
ภาพรวมรายจ่าย
ปีงบประมาณ 2568 รัฐมีรายจ่ายรวม 3.7 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนี้เกือบ 80% เป็นรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการ
ขณะที่ รายจ่ายลงทุนมีเพียง 14% จำกัดศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว
พูดอีกอย่างคือ...เงินทุก 100 บาทที่รัฐใช้ มีเพียง 14 บาทที่ลงไปสร้างอนาคต
รายได้ 3.4 ล้านล้าน
รายจ่าย 3.7 ล้านล้าน
ขาดดุลกว่า 3 แสนล้านบาท
ทำอย่างไรเมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย?
รัฐบาลต้อง “กู้เงิน” เพื่อชดเชยการขาดดุล โดยเลือกใช้หลายช่องทาง เช่น
ออกพันธบัตรรัฐบาลขายให้ประชาชนและนักลงทุน
กู้จากธนาคารในประเทศ
หรือกู้จากต่างประเทศ (แต่ไทยเน้นกู้ในประเทศมากกว่าเพื่อจำกัดความเสี่ยงค่าเงิน)
การกู้ไม่ใช่เรื่องผิด... หากเงินที่กู้ไป “สร้างรายได้ในอนาคต” ได้มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ทางออกเพื่ออนาคต
หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน รัฐจำเป็นต้อง
• ปรับระบบภาษีให้ทันสมัยและขยายฐานผู้เสียภาษี
• เปิดเผยงบประมาณอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
• กระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น ให้บริหารได้ใกล้ประชาชนมากขึ้น
• ปลูกฝังจิตสำนึกการเสียภาษีในฐานะ “หน้าที่พลเมือง”
ตัวเลขเล็ก ๆ ที่บอกเล่า “เรื่องใหญ่” ของการคลังไทย
“ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” ภาษีที่เราจ่ายบ่อยที่สุด คือพระเอกตัวจริงของรายได้รัฐ
• ทุก 100 บาทที่เราใช้จ่าย มี 7 บาทเป็น VAT
• ปี 2568 ไทยจัดเก็บ VAT ได้เกือบ 1,000,000 ล้านบาท
“เงินเดือนข้าราชการ” คิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของรายจ่ายทั้งหมด
• รายจ่ายประจำของรัฐไทยเกือบ 80% ของงบทั้งหมด
• เงินเดือนและสวัสดิการกว่า 8 แสนล้านบาท
เทียบเท่าการสร้างรถไฟฟ้าใหม่ได้กว่า 5 สาย
แรงงานกว่า 2 ใน 3 ไม่เคยยื่นภาษี
• ไทยมีแรงงาน 38 ล้านคน แต่ยื่นภาษีเพียง 10–12 ล้านคน
ไทยขาดดุลต่อเนื่อง 20 ปี
• ไทยไม่เคยมีงบเกินดุลเลยตั้งแต่ปี 2549
• หนี้สาธารณะขยับใกล้เพดาน 70% ของ GDP
รายได้ภาษีต่อ GDP ของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก
• ไทยเก็บภาษีได้เพียง 15% ของ GDP
• ค่าเฉลี่ยประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ 24–26%
งบประมาณไม่ใช่แค่บัญชีรายรับรายจ่ายของรัฐ
แต่มันคือ “ภาพสะท้อนของระบบภาษี” และ “อนาคตของคนทั้งประเทศ”
เรื่องและภาพ: ชนิยา ชัยพฤกษ์ Economist, Bnomics
════════════════
ที่มาเนื้อหาจาก… Bnomics by Bangkok Bank