ห้องเม่าปีกเหล็ก

รายได้รัฐบาล: เพียงพอขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหรือไม่?

โดย dave
เผยแพร่ :
92 views

รายได้รัฐบาล: เพียงพอขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหรือไม่?

ปีงบประมาณ 2568 รัฐมีรายได้ 3.4 ล้านล้านบาทต่อปี

แต่กลับ “ขาดดุลติดต่อกันถึง 20 ปี”

คำถามคือ... เงินภาษีที่เราจ่ายกันทุกปี เพียงพอจริงหรือในการพาประเทศก้าวไปข้างหน้า?

 

แหล่งรายได้ของรัฐ

รายได้ของรัฐบาลแบ่งเป็น 2 ส่วน (1)รายได้จากภาษี และ (2) รายได้ที่มิใช่ภาษี เช่น กำไรของรัฐวิสาหกิจและค่าธรรมเนียมจากหน่วยงานรัฐ

รายได้ภาษีคิดเป็นกว่า 88% ของรายได้ทั้งหมด

โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ

• ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 28%

• ภาษีเงินได้นิติบุคคล 23%

• ภาษีสรรพสามิต 18%

• ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 12%

• ภาษีศุลกากรนำเข้า–ส่งออก 4%

แม้ภาพรวมรายได้จะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 2.7% แต่ยังไม่ทันกับรายจ่ายที่โตเร็วกว่า

พูดง่าย ๆ คือ “รายได้เดิน แต่รายจ่ายวิ่ง”

 

รายได้รัฐเพื่ออะไร?

รายได้ของรัฐบาลไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี แต่คือ “พลังขับเคลื่อนประเทศ” ที่หล่อเลี้ยงทุกมิติของชีวิตเรา

ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน — ถนน รถไฟฟ้า สนามบิน ท่าเรือ

บริการสาธารณะ — การศึกษา สาธารณสุข และความมั่นคง

ลดความเหลื่อมล้ำ — บัตรคนจน เบี้ยผู้สูงอายุ ช่วยเหลือเกษตรกร

กระตุ้นเศรษฐกิจ — โครงการ “คนละครึ่งพลัส”, “ช้อปดีมีคืน”, สนับสนุน SMEs

รักษาเสถียรภาพการคลัง — เพื่อความเชื่อมั่นและรับมือวิกฤต

 

ปัญหาการจัดเก็บรายได้ที่รัฐต้องเผชิญ

แม้รัฐมีรายได้มหาศาล แต่ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด

• ฐานภาษีแคบ พึ่งพาภาษีทางอ้อมจากการบริโภคมากถึง 51% ขณะที่ภาษีทางตรงจากรายได้มีเพียง 36% ทำให้ผู้มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระภาษีในสัดส่วนที่สูงกว่า

• สิทธิประโยชน์ภาษีมากเกินไป เช่น ค่าลดหย่อนภาษีที่ทำให้รายได้รัฐหายไปหลายแสนล้านบาท

• เศรษฐกิจนอกระบบใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากอยู่นอกระบบ VAT หากรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี

• รายได้ภาษีต่อ GDP ต่ำ เพียง 14% เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่เฉลี่ยราว 24%

• ขาดดุลการคลังต่อเนื่อง เฉลี่ย 3.9% ของ GDP ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นและใกล้เพดาน 70%

ประเทศที่เก็บภาษีได้น้อย มักต้องใช้หนี้มาก

และประเทศที่ใช้หนี้มาก... มักเหลือพื้นที่น้อยลงในการลงทุนอนาคต

 

ภาพรวมรายจ่าย

ปีงบประมาณ 2568 รัฐมีรายจ่ายรวม 3.7 ล้านล้านบาท

ในจำนวนนี้เกือบ 80% เป็นรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการ

ขณะที่ รายจ่ายลงทุนมีเพียง 14% จำกัดศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว

พูดอีกอย่างคือ...เงินทุก 100 บาทที่รัฐใช้ มีเพียง 14 บาทที่ลงไปสร้างอนาคต

รายได้ 3.4 ล้านล้าน

รายจ่าย 3.7 ล้านล้าน

ขาดดุลกว่า 3 แสนล้านบาท

 

ทำอย่างไรเมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย?

รัฐบาลต้อง “กู้เงิน” เพื่อชดเชยการขาดดุล โดยเลือกใช้หลายช่องทาง เช่น

ออกพันธบัตรรัฐบาลขายให้ประชาชนและนักลงทุน

กู้จากธนาคารในประเทศ

หรือกู้จากต่างประเทศ (แต่ไทยเน้นกู้ในประเทศมากกว่าเพื่อจำกัดความเสี่ยงค่าเงิน)

การกู้ไม่ใช่เรื่องผิด... หากเงินที่กู้ไป “สร้างรายได้ในอนาคต” ได้มากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย

 

ทางออกเพื่ออนาคต

หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน รัฐจำเป็นต้อง

• ปรับระบบภาษีให้ทันสมัยและขยายฐานผู้เสียภาษี

• เปิดเผยงบประมาณอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น

• กระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น ให้บริหารได้ใกล้ประชาชนมากขึ้น

• ปลูกฝังจิตสำนึกการเสียภาษีในฐานะ “หน้าที่พลเมือง”

 

ตัวเลขเล็ก ๆ ที่บอกเล่า “เรื่องใหญ่” ของการคลังไทย

 

“ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” ภาษีที่เราจ่ายบ่อยที่สุด คือพระเอกตัวจริงของรายได้รัฐ

• ทุก 100 บาทที่เราใช้จ่าย มี 7 บาทเป็น VAT

• ปี 2568 ไทยจัดเก็บ VAT ได้เกือบ 1,000,000 ล้านบาท

 

“เงินเดือนข้าราชการ” คิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของรายจ่ายทั้งหมด

• รายจ่ายประจำของรัฐไทยเกือบ 80% ของงบทั้งหมด

• เงินเดือนและสวัสดิการกว่า 8 แสนล้านบาท

เทียบเท่าการสร้างรถไฟฟ้าใหม่ได้กว่า 5 สาย

 

แรงงานกว่า 2 ใน 3 ไม่เคยยื่นภาษี

• ไทยมีแรงงาน 38 ล้านคน แต่ยื่นภาษีเพียง 10–12 ล้านคน

 

ไทยขาดดุลต่อเนื่อง 20 ปี

• ไทยไม่เคยมีงบเกินดุลเลยตั้งแต่ปี 2549

• หนี้สาธารณะขยับใกล้เพดาน 70% ของ GDP

 

รายได้ภาษีต่อ GDP ของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

• ไทยเก็บภาษีได้เพียง 15% ของ GDP

• ค่าเฉลี่ยประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่ 24–26%

 

งบประมาณไม่ใช่แค่บัญชีรายรับรายจ่ายของรัฐ

แต่มันคือ “ภาพสะท้อนของระบบภาษี” และ “อนาคตของคนทั้งประเทศ”

 

เรื่องและภาพ: ชนิยา ชัยพฤกษ์ Economist, Bnomics

════════════════

ที่มาเนื้อหาจาก…  Bnomics by Bangkok Bank

 


dave