สัญญาณค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 2 ปี 2 เดือน หลังปิดตลาดค่าเงินบาท(18 ก.ค.) มาอยู่ที่ 33.60-33.62 บาท/ดอลลาร์ เป็นปัจจัยกดดันเชิง Sentiment ให้กับหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะ หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่รายได้ส่วนใหญ่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯพากันปรับตัวลดลงถ้วนหน้า อาทิ HANA,KCE,SVI,DELTA เป็นต้น
จากปัจจัยเรื่องค่าเงินโลกผันผวน ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯที่มีฐานรายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ รวมถึงบางบริษัทมีบริษัทย่อยมีฐานในต่างประเทศด้วย
แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมาในช่วงไตรมาส 2 จนถึงไตรมาส 3/60 แต่เชื่อว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นชัดเจน สะท้อนได้จากตัวเลขยอดส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ที่มีการกระจุกตัวในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ ช่วยชดเชยผลกระทบค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้
นอกจากนั้น เชื่อว่าบาทจะกลับมาออ่นค่าในช่วงที่เหลือของปีถ้าแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด กลับมาส่งสัญญาณปรับขึ้นอีกครั้ง
จากประเมินผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเกษตร-อาหาร โดยอิงสมุติฐานค่าเงินบาท 35 บาท/ดอลลาร์ เริ่มด้วยกลุ่มเกษตรและอาหาร ถ้าเงินบาทแข็งค่าทุกๆ 1 บาท/ดอลลาร์ จะกระทบกับกำไรสุทธิกลุ่มฯนี้ให้ลดลง 4.4% จากประมาณการ แบ่งเป็น
STA ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 7.2%
KSL ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 6.7%
TU ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 5.5%
CPF ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 4.9%
GFPT ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 2.4%
BR ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 0.3%
ยกเว้นแต่ TFG ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.8%
ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าเงินบาทแข็งค่าทุกๆ 1 บาท จะกระทบกับกำไรสุทธิกลุ่มฯนี้ให้ลดลง 5.8% จากประมาณการ แบ่งเป็น
HANA ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 6.2%
DELTA ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 5.7%
KCE ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 5.5%
SVI ทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิลดลง 5.2%
ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมารวดเร็วนับตั้งแต่ต้นปีแข็งค่าขึ้นกว่า 8-9% คาดกระทบกับผลประกอบการหุ้นกลุ่มส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในงวดไตรมาส2/60 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อาจจะเพิ่มขึ้นหากเทียบกับไตรมาสแรก ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 3 และ 4/60 เชื่อว่าน่าจะดีขึ้นเพราะเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม มองว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้เป็นอิทธิพลจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีทิศทางอ่อนค่าเพราะนักลงทุนคลายความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความไม่แน่นอนด้านการเมืองของ "โดนัล ทรัมป์" แต่หากในครึ่งปีหลังเฟดกลับมาส่งสัญญาณเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง หรือแม้แต่นโยบายภาษีของ ทรัมป์ หากผ่านสภาฯจะส่งผลค่าเงินดอลลาร์จะแข็งขึ้นได้อีกครั้ง
แม้ว่าเงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่า แต่ยังไม่ปรับลดประมาณการหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์แต่อย่างใด เพราะมองกระทบกำไรแค่ระยะสั้น ปัจจุบันยังอิงค่าเงินบาททั้งปีเฉลี่ย 34.50 บาท/ดอลลาร์ ในจังหวะราคาหุ้นอิเล็กทรอนิกส์อ่อนตัวมองเป็นจังหวะซื้อสะสม
ติดตามฉบับเต็มได้ที่ Money Channel