ห้องเม่าปีกเหล็ก

กลุ่มเจมาร์ท ลงโหดเหมือนโกรธใครมา? นักวิเคราะห์ชี้สถานการณ์ SINGER ไม่ปกติ

โดย ROCK POINT
เผยแพร่ :
669 views

กลุ่มเจมาร์ท ลงโหดเหมือนโกรธใครมา?

นักวิเคราะห์ชี้สถานการณ์ SINGER ไม่ปกติ

หลัง "ซีอีโอ" ลาออกจากตำแหน่ง

.

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มเจมาร์ท วันนี้ ( 2 พ.ค.2566) ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เริ่มที่ JMART ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ระดับ 19 บาท

.

ขณะที่ JMT ราคาปรับตัวทำจุดต่ำสุดไปกว่า 4.43% หรืออยู่ที่ระดับ 37.75 บาท และราคาหุ้นของ SINGER ลดลงต่ำสุดของการซื้อขายภาคเช้าที่ 13.70 บาท หรือลดลง 3.52%

โดย SINGER มีข่าวล่าสุดที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ และถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ SINGER พลิกฟื้นธุรกิจจากการขาดทุนมาเป็นกำไร ยื่นหนังสือขอลาออกและมีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา

.

[เปลี่ยนตัวผู้บริหารในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน]

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า SINGER แจ้ง SET ว่า CEO (คุณกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์) ได้ลาออกจากตำแหน่ง และบริษัทได้แต่งตั้ง คุณ นราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ (CEO ของ J-Mobile) เป็น CEO คนใหม่ของ SINGER

.

ทั้งนี้ คุณกิตติพงศ์ ถือเป็นผู้บริหารสำคัญที่นำพา SINGER พลิกฟื้นสถานการณ์จากขาดทุนเป็นการฟื้นตัว เรามองว่าสถานการณ์นี้ดูไม่ปกติ เพราะ SINGER กำลังเผชิญกับปัญหา NPL ก้อนใหญ่จากธุรกิจสินเชื่อลิสซิ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดำเนินการจากบริษัทลูก (SGC)

.

ดังนั้น การลาออกของผู้บริหารคนสำคัญจึงเป็นสัญญาณลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น และทำให้เกิดความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

.

[แนวโน้มการเติบโตน่าเป็นห่วง]

SINGER ถูกวางกลยุทธ์ให้เป็นช่องทางหลักในการจัดจำหน่ายสินค้าให้กับ J-Mobile โดยยอดขายในปี 2565ของ SINGER เกือบ 1 พันล้านบาท (หรือประมาณ 36% ของยอดขายรวม) เป็นการขายสินค้า IT ที่มากจาก J-Mobile

.

นอกจากนี้ JMART (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINGER) ก็พยายามจะผลักดันให้ SINGER เป็นกลไกหลักสำหรับธุรกิจการปล่อยขยายสินเชื่อผู้บริโภคบนฐานลูกค้าของ BRR

.

ทั้งนี้ การเปลี่ยนตัวผู้บริหารรอบล่าสุดนี้อาจจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าธุรกิจในอนาคตของ SINGER จะเน้นไปหาสินค้า IT จาก J-Mobile ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สินค้าจะกระจุกตัว และความเสี่ยงด้านการตั้งสำรองเพราะการปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้า IT มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้สูง

.

สำหรับการแก้ NPL ทำให้เกิดความกังวลกับค่าใช้จ่ายสำรองฯ และผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งNPL ที่แท้จริงของ SINGER พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/65 โดย NPL ratio อยู่ที่ประมาณ 11-12% (หากนับรวม NPA ที่บันทึกเป็นสินค้าคงคลังด้วย)

.

ทั้งนี้ เนื่องจากยังมีการจัดชั้นลูกค้าที่อ่อนไหวบางรายเป็นสินเชื่อที่ปกติ (performing loan) อยู่ในไตรมาส 4/65 แต่เราคิดว่าลูกค้าเหล่านี้อาจจะกลายมาเป็น NPL ในไตรมาส 1/66 และกระทบค่าใช้จ่ายสำรองฯ และค่าใช้จ่ายการด้อยค่าของสินทรัพย์ก้อนใหญ่ ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานค่าใช้จ่ายสำรองฯในไตรมาส 1/66 เป็น 8% (จาก 5.6% ในไตรมาส4/65) และในปี 2566 เป็น 6% (จาก 2.5% ในปี 2565)

.

[โบรกฯหั่นกำไรลด แนะนำ “ขาย”]

การปรับลดประมาณการกำไรของเราสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 6%/4% ในปี 2566/2567 (จากเดิมที่ 3%/2.5%) ประกอบกับการปรับลดอัตราการเติบโตของยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็น. -20%/+10% (จากเดิมที่ -5%/+10%)

.

รวมถึงการปรับลดอัตราการเติบโตขอสินเชื่อเป็น -6%/+5% (จากเดิมที่ -5%/+10%) ทั้งนี้ เนื่องจากมี NPL เกิดใหม่จำนวนมาก และมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร เราจึงคิดว่า SINGER น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะในการล้างงบดุล และฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคต

.

โดยเราใช้ PE ที่ 15 เท่า โดยอิงจากประมาณการกำไรเฉลี่ย 2 ปี ทำให้เราได้ราคาเป้าหมายที่ 11.60 บาท (ลดลงจาก 24 บาท) ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ขาย”

 

 


ROCK POINT