ห้องเม่าปีกเหล็ก

นัยที่แฝงเบื้องหลังอัตราการว่างงานที่ต่ำ

โดย dave
เผยแพร่ :
49 views

นัยที่แฝงเบื้องหลังอัตราการว่างงานที่ต่่า
นางธิรดา ชัยเดชอัครกุล กลุ่มสถิติแรงงาน ส านักงานสถิติแห่งชาติ
นายปุญญวิชญ์ เศรษฐ์สมบูรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย


ในปี2561 ส่านักข่าว Bloomberg จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความทุกข์ยาก (MiseryIndex) น้อยที่สุดในโลก หนึ่งในตัวเลขที่ใช้อ้างอิง คือ อัตราการว่างงานไทยที่ต่ าเป็นอันดับ 7 จาก 181
ประเทศทั่วโลก (The World Bank 2017) อัตราว่างงานที่ต่ าเช่นนี้ชวนให้เกิดข้อสงสัยว่าจริงหรือที่คนไทยมีความทุกข์เรื่องงานน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ หรือที่จริงแล้วตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงภาพลวงตาและมีความหมายใดแฝงอยู่ บทความนี้จึงมุ่งตีแผ่นัยของอัตราการว่างงานไทยที่อยู่ในระดับต่่า โดยแบ่งเนื้อหาเป็นสามส่วน 1. ข้อเท็จจริงของนิยามของอัตราการว่างงานไทย 2. ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ตัวเลขอัตราการว่างงานไม่สามารถสะท้อนได้ และ 3. เสนอเครื่องชี้ด้านแรงงานอื่น ๆ เพิ่มเติม


1. นิยามของอัตราการว่างงานไทย


เพื่อให้เห็นภาพว่าอัตราการว่างงานไทยที่ 1.1% นั้นต่่าเพียงใด ลองคิดดูว่าหากประเทศไทยมีคนพร้อมจะท างานทั้งหมด 100 คน จะมีเพียง 1 คนเท่านั้นที่ว่างงาน ในเมื่อคนไทยเกือบทั้งหมดมีงานท่าเหตุใดจึงมีเสียงบ่นจากคนจ่านวนไม่น้อยว่ามีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ จึงเกิดค าถามว่าตัวเลขอัตราการว่างงานเชื่อถือได้หรือไม่


เพื่อไขข้อสงสัยนี้ขออ้างอิงนิยามของคนว่างงานตามมาตรฐานองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization: ILO) ว่าผู้ว่างงาน คือ ผู้ที่ไม่มีงานท่าหรือหากมีงานท่าก็ท่า
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ซึ่งเป็นนิยามที่ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยน่ามาใช้อย่างไรก็ตาม ประเทศสหรัฐฯได้เพิ่มเติมนิยามผู้ว่างงานให้เข้มขึ้นโดยนับรวมบุคคลที่ช่วยกิจการที่บ้านโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนและท างานไม่ถึง 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากเราค่านวณตามนิยามแบบสหรัฐฯ จะพบว่าอัตราการว่างงานของไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.1% เป็น 1.5% ซึ่งยังคงต่่ามากเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกันที่ 4%


2. ประเด็นเชิงโครงสร้างที่ตัวเลขอัตราการว่างงานไม่สามารถสะท้อนได้

แม้อัตราการว่างงานไทยอยู่ในระดับต่ าแต่ไม่ได้หมายความว่าตลาดแรงงานจะไม่มีปัญหาใด ๆเพราะเราก่าลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง 3 ประการ


ประการแรก แรงงานบางส่วนอาจไม่มีทางเลือกและต้องทนท่างานที่ไม่มั่นคง


แรงงานภาคเกษตรซึ่งมีเกือบหนึ่งในสามของผู้มีงานท าทั้งหมด ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม จึงไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการส าคัญ อาทิคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สวัสดิการจากเงินทดแทนกรณีว่างงาน นอกจากนี้ลักษณะงานของภาคเกษตรเองไม่เอื้อต่อการท่างานในแต่ละวันได้เต็มที่ (underemployment) เห็นได้จากเวลาเฉลี่ยในการท างานประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน ต่ ากว่านอกภาคเกษตรที่เฉลี่ยเกือบ 7 ชั่วโมงต่อวันส าหรับกลุ่มผู้ท างานนอกภาคเกษตรที่ถึงแม้จะมีงานท า แต่หนึ่งในสามอาจมีความไม่มั่นคง
ในการท่างานนัก เพราะไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยเฉพาะแรงงานในภาคการค้าที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก แข่งขันสูงและมีสถานะทางการเงินไม่ดี เช่น ธุรกิจค้าปลีก แผงลอย โชห่วย และขายของหน้าร้าน

ประการที่สอง ไม่พร้อมหางานไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการท่างาน


อัตราการว่างงานที่ต่ าส่วนหนึ่งเป็นผลจากก่าลังแรงงานบางส่วนเกษียณก่อนอายุก่าหนด (earlyretire) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และบางส่วนของคนกลุ่มนี้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหางานหลังพยายามหางานมาแล้วระยะหนึ่ง หรือเรียกว่าถูกบั่นทอนก ำลังใจในกำรหำงำน (discouraged worker) ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่ถูกนับทั้งว่าเป็นก าลังแรงงานและผู้ว่างงาน ท าให้อัตราการว่างงานต่ ากว่ากรณีที่นับรวมเข้าในก าลังแรงงานและเป็นผู้ว่างงาน ในปัจจุบันแบบส ารวจของไทยไม่สามารถระบุจ านวนคนกลุ่มนี้ต่างจากแบบส ารวจ
ของประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ


ประการที่สาม มีงานท่าไม่ได้สะท้อนว่าท่างานตรงความสามารถ


การวัดเพียงว่ามีงานท าอาจท าให้ประเมินสถานการณ์ตลาดแรงงานดีเกินจริง เพราะแรงงานจะท างานได้ดีและเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้ท างานที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ โดย ปุญญวิชญ์ เศรษฐ์สมบูรณ์และศวพล หิรัญเตียรณกุล (2562) ระบุว่าหนึ่งในสิบของลูกจ้างนอกภาคเกษตรไทยได้รับค่าจ้างต่่ากว่าวุฒิการศึกษาเพราะท่างานไม่ตรงความสามารถ หรือเรียกว่ามีปัญหาความไม่สอดคล้องกันของการจ้างงาน(Job Mismatch) ในด้านวุฒิการศึกษา (Vertical Mismatch) และสาขาวิชาที่เรียน (Horizontal Mismatch)


3. เสนอเครื่องชี้ด้านแรงงานอื่น ๆ เพิ่มเติมจากอัตราการว่างงาน


ปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าวท าให้การใช้อัตราการว่างงานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสะท้อนภาพตลาดแรงงานทั้งหมดได้ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงได้เสนอการวิเคราะห์และติดตามพัฒนาการตลาดแรงงานไทยเพิ่มเติม ใน 3 มิติดังนี้


1) ความเชื่อมั่นของตลาดแรงงาน (Confidence) อาทิแนวโน้มการจ้างงานของภาคธุรกิจซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ


2) พฤติกรรมของนายจ้าง (Employer’s Behavior) อาทิจ านวนผู้ท างานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สะท้อนว่านายจ้างต้องการแรงงานมากจึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ซึ่งเป็นสัญญาณความตึงตัว
ในตลาดแรงงาน


3) ศักยภาพของตลาดแรงงาน (Utilization) อาทิ อัตราการว่างงาน จ านวนคนว่างงานที่ไม่เคยท างานมาก่อน เพื่อสะท้อนว่ามีการใช้แรงงานเต็มที่หรือไม่เครื่องชี้ชุดดังกล่าวท่าให้การวิเคราะห์ตลาดแรงงานมีมุมมองที่กว้างขึ้น ตัวอย่างเช่นตลาดแรงงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ปรับดีขึ้นในหลายมิติมีการใช้แรงงานเต็มศักยภาพในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต และมีแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้มีการจ้างแรงงานท าโอทีในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ อย่างไรก็ดี
ความต้องการแรงงานในกลุ่มทักษะต่ ายังคงปรับลดลงนอกจากการมีชุดเครื่องชี้ฯ นี้แล้ว การปรับปรุงชุดค่าถามของแบบส่ารวจภาวะการท่างานของประชากร เพื่อพัฒนาข้อมูลให้ถูกต้อง ครบถ้วน เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน รวมทั้งการศึกษาเชิงลึกด้านโครงสร้างตลาดแรงงาน มีความส่าคัญเช่นกัน ซึ่งจะท่าให้ภาครัฐด่าเนินนโยบายและผู้ประกอบการสามารถวางแผนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยทุกคน

 

 

ที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก...www.bot.or.th

 

 

--------------------------------------------------------------
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จ าเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


dave