ห้องเม่าปีกเหล็ก

แบงก์ชาติ คุม ‘เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง‘

โดย STEELBAR
เผยแพร่ :
42 views

แบงก์ชาติ คุม ‘เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง‘ 1.6 ล้านล้าน ห้ามคิดดอกเบี้ยแพง

 

  • แบงก์ชาติ เดิมเกม คุม 'ธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง' ชี้ ปัจจุบัน มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1.6 ล้านล้านบาท เกือบ 10% ของหนี้ครัวเรือนไทย
  • พบ ธุรกิจนอกกำกับ คิดดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมสูง ไม่โปร่งใส ประชาชนร้องเรียนเรื่องข้อมูลไม่ครบ-บริการไม่เป็นธรรม
  • เตรียมเข้ากำกับดูแล ธุรกิจเช่าซื้อ ตามอำนาจ พ.ร.ฎ. เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ที่จะมีผลบังคับใช้ 2 ธ.ค.2568
  • หวัง ดึง เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง 3 พันราย มาอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน หวังยกระดับมาตรฐานบริการ, คุ้มครองผู้บริโภค, ลดปัญหาหนี้ครัวเรือน
  • ชี้ ธุรกิจบางรายอาจถอนตัว หากไม่พร้อมปรับตัวตามเกณฑ์ อาจมีผลให้ สินเชื่อชะลอตัวในระยะสั้น แต่ ระยะยาว หนี้ครัวเรือนอาจคุณภาพดีขึ้น มีการชำระหนี้ได้ดีขึ้น
  • SAWAD และ MTC เห็นด้วย พร้อมเข้าสู่ระบบกำกับชี้ว่าจะช่วยสร้างมาตรฐานเดียวทั่วอุตสาหกรรม

 

 

ธุรกิจ “เช่าซื้อ” หรือธุรกิจที่ให้เช่าแบบ “ลีสซิ่ง” รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ในปัจจุบันถือว่ามีบทบาทอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งจำนวนธุรกิจที่อยู่ในวงจรนี้ที่มีจำนวนมาก และขนาดสินเชื่อที่ปล่อยผ่านระบบที่มีธุรกรรมค่อนข้างสูง

โดยล่าสุดมียอดคงค้างในระบบเศรษฐกิจถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของหนี้ครัวเรือนไทย ดังนั้น มีนัยสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ

แต่อีกด้านก็สร้าง “ผลกระทบ” อย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ และลูกหนี้เช่นเดียวกัน เพราะพบว่า 1 ใน 3 ของยอดคงค้างทั้งหมด เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ “ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับ” ซึ่งนำมาสู่ การคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าบริการที่สูงลิ่ว และมีผลกระทบต่อลูกหนี้อย่างมากในปัจจุบัน

แบงก์ชาติยกเครื่องคุมเข้มธุรกิจเช่าซื้อ

นางสาวพีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้บรรยายให้ความรู้กับสื่อมวลชน (Media briefing) ภายหลังมีการออกประกาศ พระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ และการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ศ.2568 (พ.ร.ฎ. เช่าซื้อลีสซิ่งฯ) ในราชกิจจานุเบกษา

และจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

โดย ธปท. มองว่าปัจจุบันธุรกิจเช่าซื้อ และลีสซิ่งมีบทบาทอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ และเป็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสินเชื่อคงค้างสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 คิดเป็นเกือบ 10% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดของประเทศไทย

ทั้งนี้ พบว่าธุรกิจจำนวนมากไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับการดูแล ดังนั้น เป้าประสงค์ของธปท. ในการเอา “เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง” มาอยู่ภายใต้กำกับ ก็เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ และการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่เป็นธรรม และรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศ

โดยที่ผ่านมา ธุรกิจเช่าซื้อ ลีสซิ่งบางแห่ง ที่ไม่ได้หน่วยงานมากำกับดูแลเป็นการเฉพาะ ทำให้เกิดข้อร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ทั้งการได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน การคิดค่าธรรมเนียมที่ไม่เป็นธรรม หรือการปรับโครงสร้างหนี้ที่อาจขาดมาตรฐาน

ด้วยเหตุนี้ ธปท.จึงเห็นถึงความจำเป็นในการเข้ามาดูแลกำกับธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเป็นธรรม และความโปร่งใสในตลาด
ยกระดับมาตรฐาน และสร้างความเป็นธรรม
 
ซึ่งมองว่าการให้ธุรกิจเหล่านี้มาอยู่ภายใต้กำกับดูแลจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างรอบด้าน ทั้งต่อผู้ใช้บริการ ลูกค้า และผู้ประกอบธุรกิจเอง สำหรับผู้ใช้บริการจะได้รับการคุ้มครองที่ชัดเจนยิ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมจะเป็นธรรม และโปร่งใสมากขึ้น

มีมาตรฐานที่ชัดเจนในการคิดคำนวณ การปรับโครงสร้างหนี้หรือการจัดการหนี้อื่น ๆ จะเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ข้อมูลเกี่ยวกับบริการสินเชื่อจะชัดเจน และครบถ้วน ทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบ และเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่เสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ในมุมของภาคธุรกิจ มองว่าเป็นการช่วยยกระดับมาตรฐานการของธุรกิจโดยรวม ทั้งช่วยให้ทั้งระบบ “มีมาตรฐานเดียวกัน” ทำให้เกิดสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน โดยผู้ประกอบการทุกรายจะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ และมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลมาก่อนหรือไม่ เหล่านี้จะช่วยลดความได้เปรียบเสียเปรียบจากการที่บางรายเคยได้รับการกำกับดูแล และบางรายไม่เคย

ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชน และผู้ใช้บริการ การมีข้อมูลที่ครบถ้วน และเป็นระบบจะช่วยให้ ธปท. สามารถดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน และหนี้ครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3,000 ธุรกิจ ต้องมาอยู่ภายใต้กำกับ

อย่างไรก็ตาม หากดูภาพรวมธุรกิจเช่าซื้อลีสซิ่ง ที่อยู่ในระบบ และต้องมาอยู่ภายใต้กำกับดูแลของ ธปท. ในระยะข้างหน้าตามกฎหมายกำหนด มีทั้งสิ้น 3,000 รายทั่วประเทศ

โดยเป็นรายใหญ่ ที่มีพอร์ตสินเชื่อตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป มีประมาณ 60 ราย,

รายกลาง ที่มีพอร์ตสินเชื่อ 100 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท มี 150 ราย

และรายเล็ก ที่สินเชื่อต่ำกว่า 100 ล้านบาท ที่อาจมีจำนวนมากถึงประมาณ 3,000 ราย

โดยหลังจากนี้ ธปท. จะให้ทุกรายจะต้องเข้ามารายงานตัว ผ่านการลงทะเบียนกับธปท. เพื่อรองรับการกำกับดูแล และปฏิบัติตามเกณฑ์ของ ธปท.ในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ ในมุมการกำกับดูแล หากเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างหากเกิดปัญหา จะถูกกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน และเข้มงวดมากขึ้น

ส่วนผู้ประกอบการรายเล็กบางรายอาจมีการตรวจสอบอาจใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจสอบ และกำกับ และอาจใช้ระบบการ “สุ่ม” เข้ามาดูแลในระยะข้างหน้า

ธปท. จะเข้าตรวจสอบบริษัทใหญ่ๆ อย่างใกล้ชิดเป็นประจำ เนื่องจากผลกระทบต่อลูกค้ามีจำนวนมาก แต่รายเล็กอาจมีการสุ่มตรวจบ้าง โดยจะใช้เทคโนโลยี เช่น Social Listening เพื่อตรวจสอบโฆษณา และพฤติกรรมการปฏิบัติงานของผู้ประกอบการ หรือพิจารณาจากจำนวนเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค และหากพบปัญหาธปท. จะเข้าไปตรวจสอบ”

รับกระทบสินเชื่อเช่าซื้อ-ลีสซิ่งอาจลดลง

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การมาอยู่ภายใต้กำกับของ ธปท. บนการกำกับดูแลเข้มข้นขึ้น ยอมรับว่าอาจมีผู้ประกอบการบางรายที่ไม่อยากอยู่ภายใต้ระเบียบวินัยที่เข้มงวด และมองว่าการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อาจไม่คุ้มค่า

ซึ่งอาจเลือกที่จะเลิกประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ยอมรับว่าอาจมีผลกระทบ และอาจทำให้การปล่อยสินเชื่อลดลงบ้าง  

อย่างไรก็ตามภายใต้ เป้าหมายของ ธปท. คือ ต้องการให้หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้องการปล่อยสินเชื่อที่คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ดีขึ้น

ในทางกลับกัน ธปท.มองว่า หากธุรกิจเข้ามาอยู่ภายใต้กำกับ และให้บริการตามเกณฑ์ที่กำหนด อาจเป็นการทำให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้คืนได้ดีขึ้น ภายใต้ค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยที่เป็นธรรมมากขึ้น ทำให้ความสามารถการชำระคืนหนี้ในอนาคต และปัญหาจากค่าธรรมเนียมที่ไม่เหมาะสมลดลงได้ในระยะข้างหน้า
จับตา สคบ.ทบทวนดอกเบี้ยใหม่

ในด้านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเช่าซื้อ ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นผู้กำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ และจะมีการทบทวนทุก 3 ปี โดยจะครบกำหนดการทบทวนอีกครั้งในเดือนต.ค. ปีนี้

ดังนั้น ธปท. คงไม่สามารถบอกได้ว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยต่างๆ น่าจะมีความชัดเจนได้ หลังจาก 2 ธ.ค.68 เป็นต้นไป บนการพิจารณาถึงอัตราดอกเบี้ย ต้นทุน ความเสี่ยง และไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภคเกินสมควร

“ถามว่าการกำกับของเราจะทำให้ธุรกิจบางรายล้มตายหายไปหรือไม่ พูดยาก แน่นอนผู้ประกอบการอาจไม่ได้อยากอยู่ภายใต้ระเบียบวินัยมาก บางรายก็อาจคิดว่าไม่คุ้มสำหรับเขา แต่สิ่งที่เราอยากเน้นย้ำคือ เวลาที่เรากำกับดูแลธุรกิจเราก็ดูแลเรื่องความเหมาะสมด้วย และต้องการรักษาสมดุลทั้งภาพรวมของภาพเศรษฐกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค และเรื่องความเป็นอยู่ ความอยู่รอดของผู้ประกอบการ ไม่ใช่เราต้องไปหักคอเขา ไม่ให้เก็บ ไม่ให้มีรายได้ ไม่ใช่อย่างนั้น หน้าที่เราก็ต้องรักษาสมดุลทุกด้านด้วย”

เปิดไทม์ไลน์การกำกับสินเชื่อเช่าซื้อ

สำหรับแผนงาน และกรอบเวลาการดำเนินการ หลังจากลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 2 ธ.ค.68
 

ดังนั้นช่วง มิ.ย. - ธ.ค. 68 เป็นช่วงของการเตรียมตัว และการทำ Focus Group จะเริ่มตั้งแต่ก.ค.68 เป็นต้นไป โดย ธปท.จะจัด Focus Group กับผู้ประกอบการ โดยแบ่งกลุ่มตามขนาดธุรกิจ เพื่อรับทราบข้อมูล ปัญหา และความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำกับดูแลในอนาคต

ในด้านการออกหลักเกณฑ์ ธปท. มีการออกร่างเกณฑ์ การจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และการนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน เป้าหมายคือการประกาศกฎเกณฑ์ออกมาใช้ได้ทันทีในวันที่ 3 ธ.ค.68 ซึ่งเป็นวันหลังจากที่ พ.ร.ฎ. มีผลบังคับใช้

ทั้งนี้ ราว ก.ย.นี้ ธปท. จะเปิดระบบให้ผู้ประกอบการเริ่มเข้ามาลงทะเบียนรายงานตัว โดยจะมีระบบจะเปิดให้ลงทะเบียนประมาณ 6 เดือน ทั้งนี้กรณีผู้ที่ “ผู้ไม่มาลงทะเบียน” ภายในกำหนดเวลา จะมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินในระยะข้างหน้า

ศรีสวัสดิ์ฯ” พร้อมให้ความร่วมมือ 

นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า สำหรับกลุ่มศรีสวัสดิ์ มีความพร้อมให้ความร่วมมือ และอยู่ภายใต้กำกับดูแลของ ธปท.
 

ซึ่งในเรื่องนี้เรารับรู้มานานแล้วราว 2 ปี และได้เตรียมความพร้อมมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำให้ประชาชนได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรม (Market conduct)

โดยมองว่าการให้ธุรกิจเช่าซื้อ และลีสซิ่งรถยนต์-จักรยานยนต์อยู่ ภายใต้ พ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. จะช่วยทำให้อุตสาหกรรมนี้มีข้อปฏิบัติที่ “ยกระดับ” การบริการให้เห็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ ทำให้ผู้ประกอบการมีการแข่งขันเท่าเทียม มีการให้โปร่งใสมากขึ้น ตลอดจนผู้บริโภคได้บริการและดอกเบี้ยที่มาตรฐานเดียวกันมากขึ้น

เมืองไทย แคปปิตอล” ชี้ผู้บริโภคได้ประโยชน์

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC กล่าวว่า มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ให้ธุรกิจเช่าซื้อ และลีสซิ่งรถยนต์-จักรยานยนต์อยู่ ภายใต้ พ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของธปท. เพราะว่าผู้บริโภคและเศรษฐกิจของประเทศ จะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่

จากการกำกับดูแลของ ธปท. จะทำให้การตรวจสอบเรื่องต่างๆ เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้องขึ้นเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ เนื่องจากมีผู้ประกอบการประเภทนี้ทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก

ซึ่งผู้ประกอบการเองต้องมีการพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นเป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์ต่างๆ จะช่วยให้สถานะของบริษัท และทั้งอุตสาหกรรมดีขึ้นด้วยแน่นอน

วงในชี้รายเล็กเหนื่อย หากไม่ปรับตัว  
แหล่งข่าวในวงการธุรกิจเช่าซื้อ กล่าวว่า การเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. เชื่อว่า ไม่ได้กระทบผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่รายเล็กอาจจะเหนื่อย หากไม่ปรับตัว และเตรียมความพร้อมเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.

“ผู้ประกอบการรายใหญ่ส่วนใหญ่ต้องการให้ ธปท.เข้ามากำกับดูแลอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมามีการแข่งขันการคิดดอกเบี้ย และค่าธรรมนียมที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ต้นทุนทางการเงินมากกว่าที่คาดคิด และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผู้ประกอบการยิ่งไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ กระทบระบบการเงินของประเทศในภาพรวม แต่หากมี ธปท.เข้ามากำกับให้เป็นระบบที่มีมาตรฐานเดียวกันโดยเฉพาะการคิดดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่างๆเชื่อทุกฝ่ายได้ประโยชน์”

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1184621

 


STEELBAR