ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์พื้นฐาน 3 หุ้นกลุ่มลีสซิ่ง

โดย ปั่นปลูกปลูกปั่น
เผยแพร่ :
481 views

วิเคราะห์พื้นฐาน 3 หุ้นกลุ่มลีสซิ่ง

บริษัทไหนธุรกิจจะแข็งแกร่งกว่ากัน!

.

กำลังจะผ่านพ้นไตรมาส 1/66 แล้ว Wealthy Thai จึงอยากชวนนักลงทุนมาสำรวจแนวโน้มการเติบโตของหุ้นในกลุ่มลีสซิ่งทั้ง 3 หลักทรัพย์ นั่นคือ SAWAD, MTC และ TIDLOR ว่าจะมีทิศทางการดำเนินงานเป็นอย่างไร บริษัทไหนจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทไหนจะมีปัจจัยกดดันที่นักลงทุนต้องติดตามบ้าง

.

โดยเริ่มกันที่ SAWAD หรือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 2566 โต 25-30% หนุนจากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือหนึ่งที่ปล่อยผ่านบริษัทย่อยของ SCAP ที่เร่งตัวขึ้นมาก ขณะที่สินเชื่อในกลุ่มจำนำทะเบียนรถคาดโต 20-25% สอดรับกับภาพรวมของอุตสาหกรรม ส่วนสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ของบริษัทเงินสดทันใจ (JV ร่วมกับธ.ออมสิน) ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อที่ 3.1 หมื่นลบ. จากราว 2 หมื่นลบ. ในปี 2565

.

ด้าน NPL ปีนี้ตั้งเป้าที่ 2.5-2.7% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อนที่ 2.4% ส่วนการตั้งสำรองคาดจะอยู่ที่ราว 150 ลบ. ต่อไตรมาส และตั้งเป้าระดับ Coverage Ratio ระยะยาวที่ 60-70% จาก ณ สิ้นปี 2565 ที่ 54% แต่จะเป็นการทยอยตั้งเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กดดันการเติบโตของกำไร

.

ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวก คาด SAWAD จะมีความโดดเด่นในการเร่งขยายสินเชื่อและการเพิ่มส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่เหนือกว่าคู่แข่ง อีกทั้งด้วยการคงนโยบายชะลอการปล่อยสินเชื่อในช่วง Covid-19

.

ประกอบกับสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือหนึ่งเป็นสินเชื่อที่มีการพิจารณา Credit ของลูกค้าเข้มงวดกว่าสินเชื่อจำนำทะเบียน ทำให้คาดคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง และทำให้การตั้งสำรองจะอยู่ในกรอบที่ประมาณการที่ 661 ล้านบาท ในปีนี้ หนุนให้คาดทั้งปี SAWAD จะมีกำไรสุทธิ 5,524 ลบ. โต 23.4% โดย SAWAD ยังคงให้เป็น Top Pick ของกลุ่ม Finance คงคำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐานที่ 64 บาท

.

ถัดมา MTC หรือ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังเห็นสัญญาณที่เร่งตัวขึ้นของหนี้เสีย ซึ่งคาดจะยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 2/66 ก่อนที่จะเริ่มเห็นผลบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศที่เร่งตัวขึ้น จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับขึ้น และการบริโภคภารครัวเรือนที่ฟื้นตัว ทำให้มองว่า MTC จะยังมีค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ที่สูงไปอีก 2 ไตรมาส ก่อนที่จะเริ่มทยอยปรับลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทำให้ คาด Credit Cost ทั้งปี 2566 จะลดลงเหลือ 2.2% จาก 2.7% ในปี 2565

.

สำหรับเป้าหมายของปี 2566 บริษัทยังคงตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ 20% (ฝ่ายวิเคราะห์คาดโต 18%) หนุนจากความต้องการสินเชื่อในต่างจังหวัดที่เร่งตัวขึ้นหลังการระบาด Covid-19 ลดความรุนแรงลง ประกอบกับมีแผนเปิดตัวสาขาใหม่อีกกว่า 600 สาขา ตามเป้าหมายสิ้นปีที่ 7,200 สาขา เพื่อรองรับและขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้า เบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์ประเมิน MTC จะมีกำไรปี 2566 ที่ 6,057 ล้านบาท โต 18.93% จากปีก่อน

.

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ยังมีมุมมองระมัดระวังต่อ MTC หลังการตั้งสำรองและหนี้เสียของพอร์ตสินเชื่อยังเป็นทิศทางปรับขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งจะมีแรงกดดันจากทั้งการแข่งขันในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนที่รุนแรงขึ้น และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นตามทิศทางของ Bond Yield ทำให้แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 44 บาท แต่ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำเพียง “Trading” จนกว่าจะเห็นสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น เช่น การตั้งสำรองเริ่มลดลง หรือหนี้เสียเริ่มชะลอตัว

.

ส่วน TIDLOR หรือ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) นักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ปรับกำไรสุทธิปี 2566 ลง 12% มาอยู่ที่ 3,527 ล้านบาท หดตัว 3% จากปี 2565 เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง credit cost ที่มากกว่าคาด จาก 1. ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือมีแนวโน้มตกชั้นลง, 2. การตัดจำหน่ายหนี้สูญ (write-off) ที่เพิ่มขึ้น และ 3. ยังคงรักษาระดับ LLR/loan อยู่ที่ประมาณ 4% รวมถึงปรับประมาณการ credit cost ขึ้นเป็น 330 bps. จากเดิม 260 bps

.

โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มอ่อนแอลงตามเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า นอกจากนั้นลูกหนี้บางส่วนที่หมดโครงการช่วยเหลือทยอยตกชั้น เบื้องต้นคาดว่า NPL มีแนวโน้มปรับเพิ่มต่อไปจนถึงกลางปีนี้ โดยปี 2566 บริษัทตั้งเป้าคุม NPL ไม่ให้เกิน 2% เทียบกับฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 1.80% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.58% และบริษัทมองว่า credit cost ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 300-350 bps. เทียบกับฝ่ายวิเคราะห์คาดที่ 330 bps. จากปีก่อนที่ 222 bps.

.

ทั้งนี้ คาดกำไรครึ่งแรกปี 2565 ยังไม่สดใส โดยแรงกดดันหลักมาจาก credit cost จากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวมและรายได้ค่าธรรมเนียมการขายประกันไม่สามารถชดเชยผลกระทบได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มเห็นคุณภาพสินทรัพย์กลับมาดีขึ้นครึ่งหลังของปีนี้ และทำให้กำไรกลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ ปรับคำแนะนาลงเป็น NEUTRAL และปรับราคาเป้าหมายเป็น 28 บาท

 


ปั่นปลูกปลูกปั่น