กูรูสั่งปรับพอร์ตรับมือ ‘โควิด’ ลดน้ำหนัก ‘บอนด์-ทองคำ’ หันซื้อ 'หุ้น-กองทรัสต์'
ตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเข้าสู่โหมด ‘ตื่นตระหนก (Panic)’ อย่างเต็มตัว ทั้งอาการ Panic sell จนกดให้ดัชนีวิ่งลงจาก 1,500 จุด ไปแตะจุดต่ำสุดที่ 970 จุด ลดลงมากว่า 30%
ขณะเดียวกัน ล่าสุด (13 มี.ค.) ที่ผ่านมา ในช่วงหลังจากที่ดัชนีดิ่งลงแรง ก็เกิดอาการ Panic buy สวนเข้ามาเช่นกัน ดัชนี SET ใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง วิ่งขึ้นเกือบ 200 จุด จากจุดต่ำสุดกลับมาแตะระดับ 1,160 จุด อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพของการลงทุนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อต้นปีค่อนข้างมาก ทำให้นักลงทุนน่าจะต้องทำการปรับพอร์ต ปรับกลยุทธ์ กันพอสมควร
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ได้แนะนำสัดส่วนการจัดสรรเงินลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ แบ่งเป็น หุ้น 30% ตราสารนี้ 30% โดยแบ่งย่อยได้เป็นการลงทุนในไทยอย่างละ 10% และต่างประเทศอย่างละ 20% ขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทองคำ แนะนำแบ่งสัดส่วนลงทุนอย่างละ 10% ส่วนที่เหลืออีก 20% แนะนำถือเงินสด
แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร แนะนำให้นักลงทุนปรับสัดส่วนเงินลงทุน โดยแนะนำโยกย้ายเงินลงทุนจากตราสารหนี้ไทย 10% ไปเข้าหุ้นไทย เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยเป็น 1 ใน 10 ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด
“ในเชิง Valuation ขณะนี้ (หุ้นไทย) น่าสนใจเข้าลงทุนระยะยาว เพราะดัชนี SET ลดลงมาอยู่ในค่าเฉลี่ยของ P/E นับแต่ปี 2549 ถือเป็นระดับที่อนุรักษ์นิยมพอสมควร เพราะช่วงเวลาดังกล่าวนั้นผ่านช่วงวิกฤตซับไพรม์มาด้วย ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในขณะนี้ก็ลดลงมาต่ำมาก ทำให้อัพไซด์ไม่น่าสนใจนัก”
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจขณะนี้มองไปที่ "กลุ่มไฟแนนซ์" ซึ่งจะได้รับผลบวกช่วงดอกเบี้ยต่ำ และโอกาสปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพราะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ก็ต้องระมัดระวังการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) ขณะที่กลุ่มบริหารหนี้ก็น่าจะได้ประโยชน์จากโอกาสเข้าซื้อสินทรัพย์ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
กลุ่มถัดมาคือ "กลุ่มอาหาร" ซึ่งโมเมนตัมโดยรวมยังเป็นภาพของการปรับประมาณการขึ้น และได้รับผลกระทบจากโรคระบาดน้อย และสุดท้ายคือ "กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง" ซึ่งปัจจัยกดดันจาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ ล่าช้า ได้ผ่านไปแล้ว ประกอบกับราคาที่ลดลงทำให้ต้นทุนของการก่อสร้างลดตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน แนะนำโยกเงินลงทุน 5% จาก "ทองคำ" ไปลงทุนใน "กองทรัสต์ฯ" และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มเป็น 15% เพราะที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาเยอะมาก และตอบรับความเสี่ยงในเรื่องของโควิด-19 ไปค่อนข้างมากแล้ว หากประเด็นโควิด-19 คลี่คลาย ราคาทองคำมีโอกาสเข้าสู่ช่วงพักตัวในระยะสั้น ส่วนกองรีทฯ ยังคงให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่การลงทุนในส่วนนี้อาจจะต้องแบ่งไปลงทุนต่างประเทศด้วยครึ่งหนึ่ง
“ปัจจุบันการลงทุนกองรีทในไทยมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่อง หากมีการไถ่ถอนเงินลงทุนจำนวนมาก ราคามักจะเหวี่ยงรุนแรง ขณะเดียวกันกองรีทฯ ต่างประเทศยังมีการกระจายพอร์ตที่กว้างกว่าในประเทศ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า”
ในเชิงกลยุทธ์ ตลาดกำลังอยู่บนความกลัวอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของดัชนีในระยะสั้นจึงอาจไม่สอดคล้องกับ Valuation มากนัก ยังคงแนะนำนักลงทุนระยะกลาง - ยาวถือครองหุ้นทั้งหมดต่อไป เนื่องจากคาดหวังบรรยากาศการลงทุนในไตรมาส 2 ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสภาพคล่องภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นมาจากเม็ดเงินกองทุน SSF ใหม่ แต่การเข้าซื้อใหม่นั้นให้ชะลอจนกว่าประเด็นความเสี่ยงต่างๆ จะเริ่มคลี่คลายลง ส่วนนักลงทุนระยะสั้นมองว่าจำเป็นต้องกันเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นสภาพคล่องในช่วงนี้
ด้าน กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน – กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า การจัดสรรเงินลงทุนในช่วงนี้ควรจะเน้นสินทรัพย์ในประเทศ โดยให้น้ำหนักกับการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน อาทิ ตราสารหนี้ ประมาณ 35 – 40% ของพอร์ตลงทุน ขณะเดียวกันควรจัดสรรเงินลงทุนในทองคำประมาณ 10 - 15% ในฐานะสินทรัพย์ที่มักจะให้ผลตอบแทนดีในยามตลาดย่ำแย่
สำหรับพอร์ตลงทุนในหุ้น เน้นไปที่หุ้นในประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในระดับที่ค่อนข้างจำกัด อาทิ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และบมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO)
“โดยภาพรวมในขณะนี้ มองว่านักลงทุนอาจจะโฟกัสกับการลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น เนื่องจากดัชนี SET ที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 970 – 1,040 จุด คิดเป็น P/E ประมาณ 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 15 เท่า พอสมควร”
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ทิศทางของตลาดในปี 2563 มีแนวโน้มชะลอตัวและมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หาก GDP หดตัว 2 ไตรมาส ติดต่อกัน แต่ปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้น หากเทียบกับในอดีตช่วงที่เกิด Recession ทั้ง 3 ครั้ง คือ วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 วิกฤตซัพไพร์ม ปี 2551 และวิกฤตการเมือง ปี2556 พบว่าบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันมากสุด คือ วิกฤตการเมืองปี 2556
ตั้งแต่ปี 2563 ตลาดเผชิญปัจจัยกดดันสำคัญ คือ การระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้ในจีนจะเริ่มมีผู้ติดเชื้อชะลอตัวลง แต่ทว่าสถานการณ์ในประเทศอื่นๆ กลับมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และล่าสุดยังมีประเด็นซาอุดิอาระเบียกลับมาเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน กดดันราคาน้ำมันปรับฐานแรง ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะไทยที่ปรับตัวลงแรงกว่า 28% จากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์
อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์เชิงมูลค่าของ SET ที่ระดับ 1,255 จุด โดยพิจารณาผ่าน Market Earning Yield Gap ภายใต้สมมติฐานกำไรต่อหุ้นที่ 85.59 บาท พร้อมกับใช้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 1 ปี ปัจจุบัน ที่ 0.80% จะได้ Market Earning Yield Gap เท่ากับ 6.24 % ถือว่าสูงมาก สูงกว่าวิกฤตการเมืองปี 2556 และสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตซับไพร์มเป็นต้นมา
ทั้งนี้ เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวเป็น V-Shape กลับมาได้เหมือนวิกฤตที่ผ่านๆ มาทุกครั้ง ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำการคัดกรองหุ้นเพื่อเข้าลงทุนผ่านเงื่อนไข 5 ข้อ ได้แก่ 1. ปรับฐานลงแรงกว่าตลาด นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2562 ถึงปัจจุบัน (SET ลดลง 27.8%) 2. มีอัพไซด์มากกว่า 20% 3. มีกำไรเติบโตดีกว่าตลาด 4. มีคำแนะนำ “ซื้อ” และ 5. มี Beta มากกว่า 1 หมายความว่ามีโอกาสฟื้นตัวแรงกว่าตลาด
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก