SET - ลงแรงเกินไปไหม? ถามใจเธอดู
19 มิ.ย. 2561 / 17.15 น.
โดย Wattana Stock Page
ตกลงนี่คือสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐ - จีน หรือว่า สหรัฐ - ไทย กันแน่เนี่ย? ดัชนีตลาดบ้านเราปรับตัวลงประหนึ่งว่าเป็นคู่ขัดแย้งในกรณีการตอบโต้ทางการค้าเสียเอง เฉพาะสองวันที่ผ่านมาลงไป 65 จุด หรือเกือบ 4% รุนแรงกว่าตลาดฮ่องกงที่มีใกล้ชิดกับจีนมากกว่าเราเสียอีก
สำหรับนักเทคนิคอาจมองว่า เพราะตลาดหลุดแนวรับสำคัญ จึงปรับตัวลงมาก็เป็นเรื่องไม่ได้น่าผิดปกติอะไร ก็ถูก ถ้าจะมองในด้านของเทคนิค
แต่หากมองในแง่ของภาพรวม ก็ต้องบอกว่า ลงแรงเกินไป!! เพราะปัจจัยภายในของบ้านเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสำหรับคนที่มองในเรื่องของ "การเลือกตั้ง" ที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นข่าวดี
การปรับตัวลงเช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดการ force sell หรือการขายเพื่อหลีกเลี่ยงการวางหลักประกันเพิ่ม ไม่ว่าจะของนักลงทุนที่เล่น SET50 Futures หรือว่า SSF Block Trade หรือพวกที่เล่นบัญชีมาร์จิ้นก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน
ประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจในระยะนี้ก็ได้แก่
1. ความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง สหรัฐ - จีน ที่ดูเหมือนทรัมป์ จะใช้วิธีกดดันเพื่อให้จีนยอมผ่อนคลายอะไรบางอย่าง เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดการขาดดุลทางการค้าที่มีต่อจีน
ทรัมป์อาจมองว่า จีนส่งออกมายังสหรัฐเป็นจำนวนมาก การขึ้นภาษีจะทำให้ผู้ส่งออกของจีนได้รับความเดือดร้อน และหากต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตจากภาคส่งออกได้ จีนจำเป็นจะต้องยอมผ่อนปรนตามเงื่อนไขของสหรัฐ
ในขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การใช้วิธีแบบนี้กับจีนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เพราะจีนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต้องโอนอ่อนผ่อนตาม เพราะอำนาจการต่อรองของจีนก็มีสูงเช่นเดียวกัน
แต่ท้ายที่สุด ส่วนใหญ่จะมองว่า โอกาสที่จะมีการเก็บภาษีกันจริงๆจังๆตอบโต้กันไปมาเช่นนี้ แทบเป็นไปได้ยากมาก น่าจะจบลงที่การเจรจาเสียมากกว่า ขึ้นอยู่กับว่าใครจะกดดันใครได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง
2. การปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐที่คาดกันว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และพรุ่งนี้จ กนง. จะมีการประชุมซึ่งก็ต้องวัดใจว่า จะปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ หากมีการปรับขึ้น ก็จะทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐไม่แคบลงไปกว่านี้ ซึ่งอาจจะหยุดการไหลออกของเงินทุนได้ และทำให้เงินบาทชะลอการอ่อนตัวลงได้
แต่คำถามอยู่ที่ว่า กนง. มองว่า เศรษฐกิจไทยจะ "พร้อมหรือยัง" สำหรับการขึ้นดอกเบี้ย ยังมีความจำเป็นมากขนาดไหนที่จะต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะอัตราเงินเฟ้อแม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ยังไม่ถึงจุดที่เป็นกรอบเป้าหมายของแบงก์ชาติ
3. การประชุม OPEC ที่จะมีขึ้นวันพฤหัส - ศุกร์นี้ ที่คาดกันว่า รัสเซียและซาอุ อาจจะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิต เพราะแม้ตัวเองจะไม่เพิ่ม แต่ผู้ผลิตนอก OPEC อย่างสหรัฐ ก็เปิดเผยตัวเลขการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
คงเป็นคำถามไปยังผู้นำรัสเซียและซาอุว่า ทำไมจึงต้องยอมให้สหรัฐได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียวกับราคาน้ำมันที่ขึ้นเอาๆอยู่ทุกวันนี้ เพราะเศรษฐกิจของทั้งรัสเซียและซาอุก็พึ่งพาภาคพลังงานเป็นหลัก
ส่วนใหญ่จึงมองว่า รัสเซียน่าจะมีการปรับขึ้นกำลังการผลิต ส่วนซาอุน่าจะปรับขึ้นเช่นกันแต่ไม่น่าจะมาก เพื่อพยุงราคาน้ำมันเอาไว้ไม่ให้ปรับตัวลดลงมากนัก ในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นใน OPEC ยังไม่อยากให้มีการเพิ่มกำลังการผลิต
งานนี้ก็วัดใจซาอุกับรัสเซีย ว่าจะเอาไง
หากมีการเพิ่มกำลังการผลิตจริง ราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวลดลง ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการเพิ่มมากน้อยขนาดไหน แตจริงๆแล้วราคาน้ำมันก็ปรับลงมารับข่าวนี้ไประดับหนึ่งแล้ว
แต่นักลงทุนก็คงกลัวกันที่ว่า ตลาดหุ้นบ้านเรานั้นมีสัดส่วนของหุ้นพลังงานมากที่สุด ซึ่งถ้าราคาน้ำมันปรับตัวลง ก็จะทำให้หุ้นอย่าง PTT PTTEP ปรับตัวลง ส่งภาพเชิงลบต่อตลาด
4. มีข่าวว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้น "หลัง" พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 10 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการให้สัมภาษณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ยังไม่ได้มีการกำหนดวันที่จะประกอบพระราชพิธีดังกล่าวเลย สร้างความกังวลต่อกำหนดการเลือกตั้งที่คาดว่าน่าจะมีขึ้นภายในเดือน ก.พ. 2562
5. ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ประกอบกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้จักหมดเสียที ทำให้ภาพรวมของตลาดดูแย่ เพราะมองไม่ออกว่าเงินทุนจะหยุดไหลออกได้เมื่อไหร่ แม้ค่าเงินที่อ่อนจะดีต่อภาคส่งออกของประเทศ แต่การที่เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องจะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติขายเงินลงทุนในไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนในค่าเงิน
ซึ่งวิธีที่จะชะลอการปรับตัวลงของค่าเงินบาท รวมถึงการไหลออกของเงินทุนในระยะสั้นเลย ตามทฤษฎีก็คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งก็ต้องรอดูวันพรุ่งนี้ว่า กนง. จะมีมติอย่างไร
ในส่วนของนักลงทุน ก็ควรพิจารณาดูว่า การปรับตัวลงมานั้น มันรุนแรงเกินไป หรือสมเหตุสมผลหรือไม่ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาจาก 1800 จุด เหลือเพียง 1600 นิดๆ ในเวลาเพียงไม่นาน โดยพิจารณาดูปัจจัยรอบด้านประกอบ
หากมองว่า การปรับตัวลงครั้งนี้ เป็นการปรับลงที่ดู ไม่สมเหตุสมผล การจะเข้าไปซื้อหุ้นจากการปรับลงที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะดัชนีลงมาชนาดนี้ ก็ทำให้ค่า PE ของตลาดปรับตัวลงมาได้พอสมควร และอยู่ในระดับที่ไม่ได้แพงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่หากมองว่า การปรับตัวครั้งนี้ น่าจะยังลงต่อได้อีก ก็เลือกใช้กลยุทธการลงทุนตามมุมมองที่ตนเองมีได้
*** ขอความกรุณา งดคอมเมนท์ในหัวข้อที่ "ไม่ควร" คอมเมนท์ด้วยนะครับ ที่โพสเพียงต้องการให้ข้อมูลว่ามีกระแสข่าวใดๆในตลาดบ้าง แต่ไม่ได้ให้มาคอมเมนท์ในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าคอมเมนท์ไม่ได้ ดังนั้น ถ้ามีความเห็นใดที่พาดพิงในเรื่องที่ไม่สมควร ขออนุญาตลบทิ้งทันทีนะครับ ***