ห้องเม่าปีกเหล็ก

เกิดอะไรขึ้น เฟดหั่นดอกเบี้ยตามคาด

โดย OVERMoney
เผยแพร่ :
100 views

เกิดอะไรขึ้น เฟดหั่นดอกเบี้ยตามคาด ตลาดแรงงานร้าว พร้อมส่งสัญญาณ "Stagflation" แรงมาก | โพสต์เดียวจบ แต่ยาวมาก | Podcast Available

 

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เรามาคุยเรื่องใหญ่ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตากันอยู่ นั่นก็คือการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมากันค่ะ ซึ่งผลออกมาก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้ คือมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น แต่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้มีอะไรที่น่าสนใจและน่ากังวลซ่อนอยู่เพียบ

 

เฟดลดดอกเบี้ยแล้ว... แต่ทำไมบรรยากาศไม่เหมือนเดิม?

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด หรือ FOMC ได้มีมติประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) ลง 0.25% ทำให้กรอบอัตราดอกเบี้ยใหม่ไปอยู่ที่ระดับ 4.00% - 4.25% ค่ะ

นี่คือการลดดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยมาตลอดในการประชุม 5 ครั้งก่อนหน้าของปีนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญที่ทุกคนรอคอย

แต่ทำไมบรรยากาศกลับไม่ได้ดูชื่นมื่นเหมือนการลดดอกเบี้ยครั้งก่อนๆ? นั่นเป็นเพราะการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองค่ะ

อย่างแรกเลยคือ มติที่ประชุมไม่ได้เป็นเอกฉันท์ โดยผลโหวตออกมาคือ 11 ต่อ 1 เสียง ซึ่งผู้ที่ไม่เห็นด้วยหนึ่งเดียวคือ คุณสตีเฟน มีแรน (Stephen Miran) สมาชิกบอร์ดคนใหม่ที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง แต่ที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้โหวตสวนเพราะไม่อยากให้ลดดอกเบี้ยนะคะ แต่กลับกัน เขาต้องการให้ลดดอกเบี้ยแรงกว่านี้ถึง 0.50% เลยทีเดียว

นี่เป็นสัญญาณแรกที่ชี้ให้เห็นถึงความเห็นที่ไม่ตรงกันภายในคณะกรรมการ ว่าจริงๆ แล้ว เฟดอาจกำลังถูกแทรกแซงจากการเมือง

ประเด็นที่สองที่ทำให้บรรยากาศอึมครึมคือ การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทำเนียบขาว โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากดดันเฟดอย่างหนักและต่อเนื่องมาหลายเดือนให้ลดดอกเบี้ยลงแรงๆ

สถานการณ์ทางการเมืองยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อมีการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อพยายามปลดหนึ่งในสมาชิกบอร์ดเฟด และแต่งตั้งที่ปรึกษาเศรษฐกิจของตัวเองเข้ามาแทนก่อนการประชุมครั้งสำคัญนี้จะเริ่มขึ้น ซึ่งก็คือคุณมีแรน ที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง

ดังนั้น การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จึงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงการตัดสินใจทางเศรษฐกิจที่บริสุทธิ์ แต่มีเรื่องราวของแรงกดดันทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้ และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้บรรยากาศของการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความกังวลใจ มากกว่าจะเป็นแค่ข่าวดีธรรมดาๆ ค่ะ

 

สัญญาณอันตรายจาก "ตลาดแรงงาน" ที่ไม่แข็งแกร่งอีกต่อไป

มาถึงหัวใจสำคัญของการประชุมครั้งนี้กันค่ะ ไฮไลท์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขการลดดอกเบี้ย แต่อยู่ที่คำพูดของคุณเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่สะท้อนให้เห็นภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ประโยคที่ทรงพลังและสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินคือการที่คุณพาวเวลล์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า "ผมไม่สามารถพูดได้อีกต่อไปแล้วว่าตลาดแรงงานนั้น แข็งแกร่งมาก" ซึ่งเป็นคำที่เขาเคยใช้อธิบายความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาโดยตลอด การเปลี่ยนคำพูดครั้งนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งค่ะ

นอกจากนี้คุณพาวเวลล์ยังให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า "ความต้องการแรงงานได้อ่อนตัวลง และอัตราการสร้างงานใหม่ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนจะต่ำกว่า 'ระดับที่จำเป็น หรือ break-even rate' ในการรักษาระดับอัตราการว่างงานให้คงที่"

 

คำว่า break-even rate ในที่นี้ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ จำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่ต้องเกิดขึ้นในแต่ละเดือนเพื่อให้เพียงพอกับคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาในตลาดแรงงาน และเพื่อไม่ให้อัตราการว่างงานสูงขึ้น การที่ตัวเลขการจ้างงานจริงต่ำกว่าระดับนี้ ก็เหมือนกับเรือที่เริ่มวิดน้ำเข้าเร็วกว่าที่ตักออก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยค่ะ

 

พาวเวลล์บอกประมาณว่าตัวเลข break-even ลดลงจาก แสนกลางๆ ต่อเดือนในปีที่แล้ว อาจจะมาเหลือซัก 5 หมื่นต่อเดือน ขณะที่ตัวเลข nonfarm เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 2.9 หมื่นต่อเดือนค่ะ

มุมมองนี้ไม่ได้มาจากคุณพาวเวลล์คนเดียว แต่ยังสะท้อนอยู่ในแถลงการณ์ของคณะกรรมการ FOMC ที่มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำอย่างชัดเจน โดยระบุว่า "อัตราการว่างงานได้ 'ขยับขึ้น (edged up)'" และที่สำคัญคือ "ความเสี่ยงด้านต่ำต่อการจ้างงานได้เพิ่มสูงขึ้น (downside risks to employment have risen)"

นอกจากนี้เอง เบื้องหลังความเชื่อมั่นที่หายไปนี้ ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลการจ้างงานชุดใหญ่ที่เรียกว่า QCEW (Quarterly Census of Employment and Wages) ค่ะ

ซึ่งนิคกี้ต้องอธิบายก่อนว่า ตัวเลขจ้างงานที่เราได้ยินกันทุกเดือนนั้นเป็นแค่ "ค่าประมาณการ" จากการสำรวจ แต่ QCEW คือ "ของจริง" ที่มาจากการนับข้อมูลนายจ้างเกือบทั้งหมด ซึ่งจะเปิดเผยออกมาทีหลังและมีความแม่นยำกว่ามาก และข้อมูล QCEW ล่าสุดก็ได้สร้างความตกตะลึงให้กับตลาด เพราะมันแสดงให้เห็นว่าตัวเลขการจ้างงานในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนมีนาคม 2025 นั้น "ต่ำกว่า" ที่เคยรายงานไปถึง 911,000 ตำแหน่ง

พูดง่ายๆ ก็คือ ตำแหน่งงานเกือบล้านตำแหน่งที่เราเคยคิดว่ามีอยู่จริง มันไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรก มันเหมือนกับบริษัทที่เคยรายงานกำไรสวยหรูทุกเดือน แต่พอถึงสิ้นปีตอนปิดบัญชีจริงๆ กลับพบว่ากำไรหายไปก้อนใหญ่

ความน่าสนใจอยู่ตรงที่คุณพาวเวลล์กล่าวว่า การปรับลดตัวเลขลงมหาศาลนี้ "เป็นไปตามที่เฟดคาดการณ์ไว้" อยู่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของเฟดมองเห็นสัญญาณความอ่อนแอนี้มาก่อนที่ตลาดทั่วไปจะรับรู้เสียอีก และนี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าทำไมเฟดถึงเปลี่ยนมุมมองต่อตลาดแรงงานอย่างสิ้นเชิง และทำไมจึงมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า "ความเสี่ยงด้านต่ำต่อการจ้างงานได้เพิ่มสูงขึ้น" ควบคู่ไปกับตัวเลขอัตราการว่างงานที่ขยับขึ้นไปที่ 4.3% ซึ่งสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปีค่ะ

ทั้งหมดนี้คือภาพที่ชัดเจนว่าเสาหลักที่เคยค้ำจุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาตลอดอย่างตลาดแรงงาน กำลังเริ่มแสดงรอยร้าว และนี่คือเหตุผลสำคัญที่บีบให้เฟดต้องตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะยังต้องต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้ออยู่ก็ตาม

 

โจทย์ยากของเฟด: สู้กับงานหดตัว พร้อมๆ กับเงินเฟ้อที่ยังสูง

สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เฟดต้องเผชิญกับโจทย์ที่ยากที่สุดโจทย์หนึ่งของธนาคารกลางเลยก็ว่าได้ค่ะ มันคือภาวะที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า "Stagflation" ซึ่งเป็นการรวมคำระหว่าง Stagnation (เศรษฐกิจชะงักงัน) กับ Inflation (เงินเฟ้อ)

พูดง่ายๆ ก็คือภาวะที่เศรษฐกิจไม่เติบโต คนว่างงานมากขึ้น แต่ข้าวของกลับยังแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่รับมือได้ยากมาก เหมือนกับการขับรถที่ต้องพยายามเหยียบคันเร่งเพื่อพยุงเครื่องยนต์ (ตลาดแรงงาน) แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเหยียบเบรกเพื่อควบคุมความเร็ว (เงินเฟ้อ) ไปพร้อมๆ กัน

เรามาดูฝั่งเงินเฟ้อกันบ้างค่ะ แม้ตลาดแรงงานจะอ่อนแอลง แต่ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดก็ยังอยู่ที่ 2.6% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% อยู่ดี ต้นตอสำคัญของเงินเฟ้อรอบนี้มาจาก "กำแพงภาษี (Tariffs)" ที่ทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าแพงขึ้น และบริษัทต่างๆ ก็เริ่มส่งต่อต้นทุนนั้นมายังผู้บริโภค

ประเด็นนี้สร้างความเห็นที่แตกต่างกันภายในคณะกรรมการของเฟดเองด้วยค่ะ กรรมการบางส่วนยังคงกังวลว่าผลกระทบจากกำแพงภาษีอาจจะยังส่งผ่านมาไม่เต็มที่ และอาจกลายเป็นปัญหาเงินเฟ้อเรื้อรังได้ในอนาคต จึงอยากให้ดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง แต่ก็มีกรรมการอีกกลุ่ม เช่น คุณคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และคุณมิเชล โบว์แมน ที่มองว่าผลกระทบจากกำแพงภาษีน่าจะเป็นแค่เรื่องชั่วคราว และเฟดควรจะให้น้ำหนักกับการลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจมากกว่า

ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างนี้ คุณพาวเวลล์ได้อธิบายจุดยืนของเขาว่า ที่ผ่านมาผลกระทบของกำแพงภาษีต่อราคาสินค้า "ยังไม่รุนแรงและเกิดขึ้นช้ากว่าที่หลายคนคาดไว้" ซึ่งตรงนี้เองที่เปิดช่องว่างให้เฟดสามารถตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อจัดการกับปัญหาตลาดแรงงานที่ดูเร่งด่วนกว่าได้

แต่เขาก็ย้ำอย่างชัดเจนว่า เฟดมีภารกิจสำคัญในการป้องกันไม่ให้การขึ้นราคาจากกำแพงภาษีที่เป็นแค่ "การปรับขึ้นครั้งเดียว" ลุกลามกลายเป็น "ปัญหาเงินเฟ้อต่อเนื่อง" และยังคาดว่าแรงกดดันด้านราคานี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปจนถึงปีหน้า นี่คือความท้าทายที่เฟดต้องบริหารจัดการอย่างสมดุลที่สุดค่ะ

 

มองไปข้างหน้า: เฟดจะลดดอกเบี้ยอีกไหม?

มาถึงคำถามที่ทุกคนอยากรู้ที่สุดค่ะ ว่าตกลงแล้วเฟดจะลดดอกเบี้ยอีกไหม? ถ้าเราดูจากเอกสารคาดการณ์เศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่า "Dot Plot" ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นของกรรมการเฟดแต่ละท่านแบบไม่ระบุชื่อ ก็จะเห็นว่าค่ากลาง (Median) ของการคาดการณ์นั้นชี้ไปที่การลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2025 นี้ และอาจจะลดอีก 1 ครั้งในปี 2026 และอีก 1 ครั้งในปี 2027

แต่...อย่าเพิ่งรีบดีใจไปค่ะ! เพราะถ้าเรามองลึกลงไปในรายละเอียดของ Dot Plot จะเห็นภาพที่น่าสนใจมากค่ะ โดยคุณพาวเวลล์เปิดเผยว่า ความเห็นของกรรมการนั้นแตกออกเป็นสองฝั่งเกือบจะเท่าๆ กัน คือมีกรรมการ 10 ท่านที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งหรือมากกว่านั้นในปีนี้ ขณะที่อีก 9 ท่านคาดว่าจะลดน้อยกว่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการเฟดเองก็ยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกันอย่างมากเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต

คุณพาวเวลล์จึงพยายามย้ำเตือนตลาดอย่างหนักแน่นว่า Dot Plot นี้เป็นเพียง "การรวบรวมความเห็นของคน 19 คน" ไม่ใช่ "แผนการที่กำหนดไว้แล้ว" และนโยบายการเงิน "ไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า"

เขาบอกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในตอนนี้ "ไม่ปกติอย่างยิ่ง" จึงไม่แปลกที่จะมีความเห็นหลากหลาย และเฟดไม่มี "เส้นทางที่ปราศจากความเสี่ยง (risk-free path)" เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก็มีความเสี่ยงทั้งต่อเรื่องเงินเฟ้อและตลาดแรงงานรออยู่

ดังนั้น คำตอบของคำถามนี้ก็คือ แม้จะมีแนวโน้มว่าเฟดอาจจะลดดอกเบี้ยอีก แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนค่ะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาในอนาคต โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อ สิ่งที่นักลงทุนอย่างเราต้องจำให้ขึ้นใจคือคำพูดของคุณพาวเวลล์ที่ว่า การตัดสินใจจะเป็นแบบ "ประชุมต่อประชุม (meeting-by-meeting)" เท่านั้นค่ะ

 

ตลาดการเงินตอบสนองอย่างไร?

ปฏิกิริยาของตลาดหลังการประกาศก็น่าสนใจมากค่ะ ในช่วงแรกที่ประกาศลดดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง แต่หลังจากที่คุณพาวเวลล์เริ่มแถลงข่าวและแสดงความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงาน ค่าเงินดอลลาร์กลับแข็งค่าขึ้นมาลบที่อ่อนค่าไปได้หมด ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) ก็ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะรุ่นอายุ 5 ปี ที่ดีดตัวขึ้น 6 basis points ไปอยู่ที่ 3.65%

ภาพนี้สะท้อนว่านักลงทุนไม่ได้มองว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณ "เปิดเกมรุก" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ แต่กลับมองว่ามันเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อ "บริหารความเสี่ยง (risk-management cut)" หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นเหมือนการซื้อประกันเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงไปมากกว่านี้

ท่าทีที่ดูเหมือนจะกังวลของคุณพาวเวลล์ ทำให้ตลาดไม่แน่ใจว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องได้มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อที่ยังค้างคาอยู่

 

ความเห็นส่วนตัว: สัญญาณที่ขัดแย้ง และความไม่แน่นอนข้างหน้า

ถ้าจะให้สรุปในมุมมองของนิคกี้ บอกตามตรงว่าการสื่อสารของเฟดครั้งนี้ทำให้เห็นภาพที่สับสนและขัดแย้งกันเองอย่างมากเลยค่ะ

ด้านหนึ่งเฟดยอมรับว่าตลาดแรงงานกำลังแย่ลงอย่างชัดเจน แต่อีกด้านหนึ่งก็คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อปีหน้าจะสูงขึ้น แต่ทางออกที่เฟดเลือกทำกลับเป็นการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อไป

ยิ่งถ้าเราไปดู Dot Plot ของปีหน้า จะยิ่งเห็นภาพชัดเจนเลยค่ะ จุดคาดการณ์ดอกเบี้ยของกรรมการแต่ละคนกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงมาก ซึ่งมันแปลความหมายได้อย่างเดียวเลยค่ะว่า ขนาดคนวงในอย่างเฟดเอง ก็ยังไม่มีไอเดียที่ชัดเจนเลยว่าจะเอายังไงต่อกับทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า

มันทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่คือสัญญาณว่าเฟดกำลังจะเปลี่ยนจุดยืน? อาจจะยอม ‘หลับตาข้างหนึ่ง’ กับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงเกินเป้าไปก่อน เพื่อหันมาอุ้มตลาดแรงงานที่กำลังจะล้มไม่ให้ล้มดัง เพราะมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าในระยะสั้น

สัญญาณทุกอย่างในวันนี้มันดูขัดแย้งกันเองไปหมดเลยค่ะ ในช่วงเวลาที่แม้แต่คนกำหนดนโยบายยังดูไม่แน่ใจแบบนี้ การลงทุนของเราต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นทวีคูณเลยนะคะ

พอร์ตการลงทุนอาจจะต้องปรับมาเน้นแนวปลอดภัย (Defensive) ที่ทนทานต่อความผันผวน หรือสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ (Income) มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่สูงมากในตอนนี้ค่ะ

โดยสรุปแล้ว การลดดอกเบี้ยของเฟดครั้งนี้จึงเป็นข่าวที่ต้องตีความอย่างระมัดระวังค่ะ แม้จะเป็นการลดดอกเบี้ย แต่ก็เกิดขึ้นบนความกังวลต่อเสถียรภาพของตลาดแรงงาน ไม่ใช่การลดดอกเบี้ยเพราะเศรษฐกิจแข็งแกร่งและต้องการไปต่อ นักลงทุนคงต้องจับตาดูตัวเลขการจ้างงาน (โดยเฉพาะ layoff) และเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางนโยบายของเฟดและตลาดการเงินโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้เลยค่ะ

ปล. สิ่งหนึ่งที่เราใจชื้นได้หน่อยคือ พาวเวลล์พูดซ้ำหลายรอบว่า AI Capex แข็งแกร่งมากๆ

 

 

 

ที่มาเนื้อหา.  Beauty Investor


OVERMoney