ห้องเม่าปีกเหล็ก

แนะนำ 6 กลยุทธ์ สำหรับ SME เริ่มปั้นแบรนด์

โดย คเณชา
เผยแพร่ :
135 views

แนะนำ 6 กลยุทธ์ สำหรับ SME เริ่มปั้นแบรนด์ให้ปัง เตรียมความพร้อมก่อนบุกตลาด AEC ขยายโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืนในอนาคต

.

เพราะธุรกิจต้องเติบโต Bangkok Bank SME จึงอยากชวน SME ไทย ไปบุกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยกลยุทธ์ปั้นแบรนด์ให้ปัง เจาะตลาดอาเซียน สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย และเหล่า SME ที่ทำธุรกิจ จะได้ปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับการขยายกิจการ สู่ตลาดเพื่อนบ้านนานาประเทศในกลุ่ม AEC ไปพร้อมกัน

.

หากธุรกิจของคุณ ได้เวลาขยับขยาย สิ่งแรกที่ SME ไทยต้องทำ เพื่อมุ่งสู่ AEC ก็คือการลงทุนด้านการสำรวจตลาดในแต่ละประเทศ ให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสินค้า-บริการ ราคา ช่องทางการจำหน่าย ซึ่งต้องอาศัยคนท้องถิ่นในประเทศนั้น ๆ เป็นตัวช่วยในการสำรวจตลาด จึงจะสามารถเข้าถึง รวมทั้งเข้าใจผู้บริโภคของตลาดได้อย่างชัดเจน

.

จากนั้น จึงนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ที่จะสามารถส่งเสริมการตลาด และกำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ซึ่ง SME จำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะขยายธุรกิจสู่ประเทศนั้น ๆ ในรูปแบบใด อาทิ ธุรกิจร่วมทุน ตัวแทนจำหน่าย ผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หรืออื่น ๆ

.

 

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ การสร้างแบรนด์ (Branding) ให้แข็งแกร่ง โดยมี "Brand Concept" และ "Brand Character" ที่ชัดเจน เป็นการเปิดทางให้สินค้าและบริการของเราเข้าถึงคนในพื้นที่นั้น ๆ ได้ ผ่าน 6 กลยุทธ์ที่ Bangkok Bank SME นำมาฝากกันในวันนี้

.

1. รู้จัก “BRAND VISION & MISSION”

.

ก่อนที่จะทำให้ลูกค้ารู้จัก และยอมรับแบรนด์ของเรา ต้องรู้ก่อนว่า เราสร้างแบรนด์มาเพื่ออะไร พันธกิจ และวิสัยทัศน์ของแบรนด์คืออะไร

.

 

ตัวอย่างเช่น... บริษัท WORKPOINT GROUP มีพันธกิจ คือ “การผลิตผลงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างพัฒนา องค์กรสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ให้บริการด้านบันเทิงและส่งเสริมการเรียนรู้แก่สังคม พัฒนาบุคลากรด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและพลังความคิดริเริ่สร้างสรรค์ที่ยึดมั่นในคุณธรรม”

.

 

บริษัท MK RESTAURANT GROUP มีวิสัยทัศน์ คือ ส่งมอบความสุขแก่ลูกค้าด้วยอาหารที่อร่อย มีคุณภาพ ท่ามกลางประสบการณ์ ที่ประทับใจ และสร้างโอกาสความก้าวหน้าให้กับพนักงาน ตลอดจนส่งเสริมชุมชนและสิ่งแวดล้อม

.

หากเจ้าของแบรนด์ และพนักงานทุกคนรู้เป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันแล้ว จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และเดินทางถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าแบรนด์ที่กำหนดเป้าหมายไม่ชัดเจน

.

2. รู้จัก “ลูกค้า”

.

เมื่อตั้งวิสัยทัศน์ และพันธกิจของแบรนด์ไว้ชัดเจนแล้ว ต่อมา คือต้องทำความรู้จักกับลูกค้าของเรา ด้วยการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งแต่ละแบรนด์สามารถมีกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการแต่ละประเภท

.

การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ยิ่งจำแนกละเอียดเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับการทำการตลาด โดยเฉพาะการทำการตลาดออนไลน์ การยิงโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย

.

 

ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่สินค้าของคุณเป็นอาหารทะเลแช่แข็ง แน่นอนว่ากลุ่มลูกค้าย่อมหลากหลาย คุณอาจแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็น...

.

- กลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน อายุ......... มีความสนใจในเรื่อง.......... มีกิจวัตรประจำวัน......... ชอบไปเดินซื้อของที่.........ฯลฯ

- กลุ่มร้านอาหาร เป็นร้านอาหารประเภท......... ขนาดของร้านอาหาร...... ปริมาณการสั่งซื้อต่อครั้ง......... ฯลฯ

.

หรือกลุ่มอื่น ๆ โดยที่ในแต่ละกลุ่มอาจแยกย่อยไปตามช่องทางการซื้อขาย บริเวณที่อยู่อาศัย หรืออื่น ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งไม่มีกฏเกณฑ์ที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของแต่ละแบรนด์

.

การกำหนดรายละเอียดลูกค้า หรือสมมุติตัวละครขึ้นมาให้เห็นภาพลูกค้า ช่วยให้เราหาหนทางเจาะตลาดได้ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีขึ้น ทั้งในแง่ของเชิงปริมาณ และคุณภาพ

.

3. สร้างสิ่งที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง

.

 

ในโลกที่การสื่อสารทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้ทั่วทุกมุมโลก หากแบรนด์ของคุณไม่มีความแตกต่างย่อมถูกกลืนหายไปด้วยจำนวนคู่แข่ง เพราะฉะนั้น เริ่มแรก...แบรนด์ของคุณควรมีคาแรคเตอร์ชัดเจน ในที่นี้หมายรวมถึงจุดยืน ภาพลักษณ์สินค้า รูปแบบบรรจุภัณฑ์ Mood&Tone การทำการตลาด ความคิดสร้างสรรค์ที่สอดแทรกลงไปในทุกรายละเอียดของการสร้างแบรนด์ รูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และที่สำคัญที่สุดคือตัวเจ้าของแบรนด์เอง ต้องกล้าที่จะแตกต่าง

.

อย่างไรก็ตาม การที่จะสร้างความแตกต่างแล้วได้ผลตอบรับที่ดีนั้น คุณจำเป็นต้องรู้จักสินค้าของตัวเองให้ดีในทุกแง่มุม รวมไปถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ เพื่อที่จะสามารถหาไอเดียมาสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้า และบริการของคุณได้อย่างเหมาะสม ตรงจุด และเป็นที่น่าจดจำ จนลูกค้าต้องบอกต่อนั่นเอง

.

4. Brand Personality

.

 

รู้จัก Law of Attraction ไหม? เรากำลังจะบอกว่า แบรนด์ก็เหมือนกับคนหนึ่งคน จะมีบุคลิกเป็นคนรักสุขภาพ เป็นมิตรน่าเข้าใกล้ เป็นคนสนุกสนาน มีความเป็นอาร์ติสต์ในตัวเอง ชอบการปาร์ตี้ ชอบเดินทางท่องเที่ยว เรียบหรูดูแพง หรือลึกลับน่าค้นหา คุณสามารถออกแบบได้ ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า ‘บุคลิกของแบรนด์ (Brand Personality)’ ที่หลายครั้งมักจะสะท้อนความเป็นตัวตนของเจ้าของแบรนด์ และเชื่อไหมว่า...คุณสร้างแบรนด์บุคลิกแบบไหน คุณก็จะได้ลูกค้าบุคลิกแบบนั้นเป็นส่วนใหญ่

.

การใช้ทฤษฎี ‘Law of Attraction’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘กฏแรงดึงดูด’ มาช่วยในการออกแบบบุคลิกของแบรนด์ นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะทำให้คุณมองภาพแบรนด์ในบุคลิกที่คุณต้องการจริง ๆ ได้อย่างชัดเจน และง่ายขึ้น เพราะคุณจะต้องนึกถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่คุณต้องการควบคู่ไปด้วย ส่งผลให้การออกแบบบุคลิกของแบรนด์ การวางแผนทำการตลาด การตั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงการดำเนินงานในขั้นตอนอื่น ๆ สามารถดำเนินการไปได้อย่างสอดคล้องกันมากขึ้น ลดปัญหาการขัดแย้งของแผนงาน และย่นระยะเวลาการทำงานได้อีกด้วย

.

5. การออกแบบโลโก้

.

โลโก้ (Logo) เปรียบเสมือนหน้าตาของแบรนด์ โลโก้ ที่ดี คือ โลโก้ที่ทำให้คนจดจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เพียงได้เห็นโลโก้ ก็รู้แล้วว่าสินค้าคืออะไร เพราะ โลโก้ มีหน้าที่ในการสื่อสารความเป็นแบรนด์ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวอักษร ลายเส้น รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาประกอบเป็นโลโก้

.

 

ยกตัวอย่าง โลโก้ของ Instagram หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า นอกจากจะเป็นโลโก้แล้ว ยังถูกใช้เป็นไอคอนของแอปพลิเคชันไปในตัวด้วย ซึ่งนอกจากรูปแบบการไล่สีบนโลโก้จะโดดเด่น และจำง่าย ด้วยการใช้สัญลักษณ์ของกล้องบนโลโก้ Instagram ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกล้องโพลารอยด์ ซึ่งภาพนั้น ยังสามารถสื่อถึงจุดยืนของแอปพลิเคชัน Instagram ที่เป็นเหมือนอาร์ตแกลลอรี่ เน้นให้ผู้ใช้งานได้ถ่ายภาพ และแชร์ภาพเป็นหลักนั่นเอง แตกต่างจากแอปฯ โซเชียลอื่น ๆ ที่อาจเน้นการแชร์ข้อความ หรือบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษรเป็นส่วนใหญ่

.

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะจ้างนักออกแบบโลโก้มืออาชีพ หรือเด็กจบใหม่ สุดท้ายแล้ว คนที่สื่อสารตัวตนแบรนด์ออกมาได้ดีที่สุดคือตัวคุณเอง เราไม่ได้บอกให้คุณต้องไปเรียนออกแบบโลโก้ด้วยตัวเอง แต่การศึกษาหาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการออกแบบโลโก้ และรูปแบบต่าง ๆ ของโลโก้ อาจช่วยให้คุณสื่อสารกับผู้ที่ทำหน้าที่ออกแบบโลโก้ได้เข้าใจตรงกันมากขึ้น

.

6. งานดีไซน์

.

งานดีไซน์ ถือเป็นอีกส่วนสำคัญที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้อย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้ และยังสามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ ยกระดับแบรนด์ของคุณให้ดูมีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นได้เช่นกัน

.

ไม่ว่าสินค้าของคุณจะถูกขนาบข้างด้วยสินค้าคู่แข่งหลากหลายแบรนด์ ที่เบียดเสียดแย่งซีนกันอยู่บนเชลฟ์ หรือเป็นภาพถ่ายสินค้าท่ามกลางภาพสินค้านับร้อยนับพันบนหน้าฟีดแอปพลิเคชันช้อปปิ้งต่าง ๆ งานดีไซน์ที่ดี จะทำให้สินค้าของคุณโดดเด่นขึ้นมา จนลูกค้าเลือกหยิบขึ้นมาดู และตัดสินใจซื้อในที่สุด ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อสินค้าโดยดูจากแพ็กเกจ หรือดีไซน์ของสินค้านั้น ๆ เป็นลำดับแรก ๆ ดูได้จากบทความ และงานวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก

.

 

ทั้งนี้ งานดีไซน์ที่ดีนั้น ควรมี Mood&Tone สอดคล้องไป Brand Personality, Brand Vision& Mission และตัวสินค้า โดยถ่ายทอดออกมาผ่านรูปทรง ลวดลาย สี วัสดุ ฯลฯ ซึ่งต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ สื่อสารถึงตัวสินค้าได้ดี และต้องไม่จมหายเมื่ออยู่ท่ามกลางแบรนด์อื่น ๆ

.

แม้ว่าสินค้าไทย จะเป็นที่ยอมรับในเรื่องของคุณภาพ แต่หากเป็นสินค้าที่มีการสร้างแบรนด์อย่างแข็งแกร่ง จะยิ่งสร้างพลังที่ช่วยให้สินค้าของคุณบุกตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ มัดใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น ดังนั้น หากต้องการเจาะตลาด AEC ผู้ประกอบการไม่ควรลุยเข้าไปโดยไร้การสร้างแบรนด์ แต่จำเป็นต้องไปบุกตลาดความพร้อม และ 6 กลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้น อาจเป็นหนทางสู่โอกาสทางธุรกิจ ให้เกิดความมั่นคงและมีความยั่งยืนต่อไปในระยะยาว

.

 

 

 

 


คเณชา