ผลกระทบ'สงครามการค้า'ต่อประเทศในภูมิภาค'เอเชีย' : แม้ว่าในช่วงสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมา สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียยังต้องเผชิญผลกระทบจากมาตรการ ด้านภาษีที่มีผลแล้ว สะท้อนจากปริมาณ การค้าโลกและการส่งออกของหลายประเทศที่หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต (supply chain) ของจีน เช่น เกาหลีใต้และไต้หวันที่การส่งออก หดตัวถึง 8.5% และ 4.2% ในไตรมาส 1 ปี 2562 ตามลำดับ ขณะที่ญี่ปุ่นหดตัว 5% มาเลเซียหดตัว 4.8% รวมถึงไทยที่หดตัว 4% จากที่เคยขยายตัวสูงถึง 11.5% ใน ไตรมาสแรก ของปี 2561
มองไปข้างหน้า สงครามการค้ายังส่งผล ต่อความเชื่อมั่น (sentiment) ของการผลิตและการลงทุน สะท้อนจากดัชนี การผลิตโลก (Global manufacturing PMI) ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 49.8 ในเดือนพ.ค.2562 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ปลายปี 2560
ที่ผ่านมา ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ทั้งทางตรงผ่านมาตรการภาษีที่สหรัฐทำกับทุกประเทศ เช่น ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม และทางอ้อมจากมาตรการภาษีแบบเฉพาะ ได้แก่ การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 25% บนกลุ่มสินค้ากว่า 6,000 รายการ มูลค่ารวม 250,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนมากเป็นหมวดสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี รวมถึงสินค้าในหมวดอุปโภคบริโภค อีกหลายรายการ เช่น เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
ผลกระทบของสงครามการค้าที่มีต่อภาคการผลิตและการส่งออกของประเทศ ในภูมิภาคเอเชีย แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ การส่งออก การนำเข้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
มิติของการส่งออก พบว่า การส่งออก ของประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ ปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งหลังของ ปี 2561 เป็นต้นมา โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ ในห่วงโซ่การผลิต (supply chain) ของจีน จากการที่จีนเป็นผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่ การผลิตโลก (Global value chain: GVC) ซึ่งจากรายงาน Trade in Value Added and Global Value Chains ปี 2561 ที่จัดทำโดย World Trade Organization พบว่า สัดส่วนของ GVC ที่มาจากการผลิต ในจีนคิดเป็น 34.9% ของ GVC รวมในปี 2558
ดังนั้น ประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับจีน ด้านการผลิตสูง เช่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลี สิงคโปร์และไทย จึงมีโอกาสได้รับผลกระทบสูง โดยเฉพาะภาคการผลิตกลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งจีนนำเข้าสินค้าขั้นกลางจากประเทศ เหล่านี้ไปใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐ
การที่จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐได้น้อยลง อาจเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออก ทั้งในรูปแบบของการโยกย้ายคำสั่งซื้อมายังประเทศอื่นๆ แทน (substitution effect) โดยสินค้าจากจีนที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าและเป็นสินค้าที่ประเทศอื่นสามารถส่งออกไปทดแทนจีนได้นั้น เป็นสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ ยานพาหนะและชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์จากเหล็ก และผลิตภัณฑ์ จากยางพารา
ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้รับประโยชน์จากการผลิตเพื่อส่งออก ไปทดแทนจีนอยู่บ้าง สะท้อนจากการส่งออกไปสหรัฐที่เพิ่มขึ้นของเกาหลีใต้และไต้หวันที่ขยายตัว 12.9% และ 18.8% ในไตรมาส ที่ 1 ปี 2562 เทียบกับอัตราการขยายตัว ของการส่งออกโดยเฉลี่ยในปี 2561 ที่ 6.2% และ 7.3% ตามลำดับ
มิติของการนำเข้า ผลลบจากสงครามการค้าอาจส่งผ่านไปยังกลุ่มผู้ผลิตและ ขายสินค้าในประเทศ ในกรณีที่จีนไม่สามารถ ส่งออกสินค้าไปสหรัฐแล้วนำมาขายทุ่มตลาด (dumping effect) ในประเทศที่สาม จากการศึกษาโดยใช้ดัชนีความเหมือนของสินค้าที่สหรัฐ และประเทศอื่นนำเข้า จากจีน (Import Similarity Index: ISI) พบว่าประเทศที่มีค่าดัชนี ISI สูงจะมีโอกาส ถูกทุ่มตลาดได้มาก โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องจักรและชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ในประเทศไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ โทรทัศน์และกล้องถ่ายรูปดิจิทัล อาจถูกทุ่มตลาดในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงการทุ่มตลาดยานพาหนะและชิ้นส่วนในประเทศไทย เกาหลีใต้ อินเดีย และไต้หวัน
ประเทศในภูมิภาคเอเชียอาจได้รับ ผลบวกเพิ่มเติม จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ผู้ประกอบการ ต่างชาติตัดสินใจย้ายฐานการผลิตสินค้าออกจากจีน มายังประเทศอื่นที่มีศักยภาพ สามารถรองรับการลงทุนและการผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนจากการ ดำเนินนโยบายทางการค้าต่อจีนของสหรัฐ กอปรกับต้นทุนการผลิตในจีนที่ปรับเพิ่มขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถการแข่งขัน ความเพียงพอ ของแรงงาน ต้นทุนการผลิตอื่นๆ และ ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) พบว่าเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย มีศักยภาพในการแข่งขันสูง โดยเฉพาะ ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ยางล้อ ปิโตรเคมี และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของ FDI มายัง ประเทศต่างๆ ในเอเชียในช่วงครึ่งหลัง ของปี 2561 อาทิ FDI ไปยังเวียดนาม ขยายตัว 30% จากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561
แม้ว่าสงครามการค้าจะส่งผลกับประเทศ ในภูมิภาคและไทยในเชิงลบมากกว่าผลบวก แต่อาจเป็นโอกาสที่ทางการและผู้ประกอบการ ของไทย จะหาแนวทางร่วมกันในการพัฒนา และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้มีความพร้อม สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส โดยเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า
โดย ฉัตรลดา โชตนาการ
เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.
Source: กรุงเทพธุรกิจ ,FB : Bank of Thailand Scholarship Students