สรุปมุมมองการลงทุน นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี : กลยุทธ์วีไอในปี 64

สรุปมุมมองการลงทุน นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี : กลยุทธ์วีไอในปี 64

คลิปเต็ม

== การลงทุนหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ==

1. ปี 2563 เป็นปีที่ยากลำบากในการลงทุน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าโชคดีด้วยทำให้พอร์ตการลงทุนส่วนตัวเติบโตได้ค่อนข้างดี

2. แต่ทั้งนี้ก็ไม่อยากให้มองเรื่องของแต่ละปีเติบโตเท่าไร มันเป็นการมองระยะสั้นเกินไป มันมีเรื่องจังหวะ มีเรื่องโชคเข้ามาเกี่ยวข้อง การวัด 1 ปี มันไม่ได้มีความหมายอะไร อยากให้นักลงทุนมองกันยาวๆมากกว่า

3. ถ้าเราไม่ได้มองผลตอบแทนแล้ว เรามองอะไร ?
... เรามองว่าบริษัทที่เราถืออยู่ มีโอกาสเติบโตต่อได้ไหม
เพราะพื้นฐานความเชื่อของเรา คือ ถ้าเราซื้อหุ้นตัวไหน เราพร้อมจะถือยาว 2-3 ปี ซึ่งเราจะต้องตรวจสอบตลอดเวลาว่า บริษัทยังโตต่อได้อีกไหม ถ้าไม่แล้วก็พร้อมจะขายเหมือนกัน

4. ถือหุ้นเยอะไหมในพอร์ตส่วนตัว
ถือไม่เยอะประมาณ 5-6 ตัว และจะพยายามไม่ให้มากไปกว่านี้ แต่หุ้นที่เราสนใจหรือหุ้นที่เรากำลังจับตาอยู่มีเยอะกว่านี้มาก
คือเราสนใจ แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้ซื้อไม่ได้ เช่น ราคาแพงไป แบบนี้เราก็ไม่ซื้อ

5. ปี 2564 มองว่าธุรกิจไทยภาพรวมน่าจะเติบโตได้ไม่สูง แต่สิ่งที่เราพยายามทำคือมองหาหุ้นที่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ มีโอกาสเติบโต
... จุดประสงค์ถัดมา คือในเรื่องของราคา เราจะต้องซื้อในราคาที่ไม่แพง

6. มองว่ากลุ่มอาหาร กลุ่มค้าปลีก น่าสนใจ และหุ้นที่ส่วนแบ่งการตลาดยังเล็ก พร้อมจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดของคนอื่น แบบนี้ก็น่าสนใจ

7. ถ้าหุ้นที่ขนาดใหญ่ กินส่วนแบ่งเยอะอยู่แล้ว เช่น 70-80% แบบนี้ก็คืออิ่มตัวอาจจะไม่โตไปกว่านี้ หรือโตช้า เราพร้อมจะมองหาหุ้นที่กินส่วนแบ่งประมาณ 10-20% และไปกินส่วนแบ่งคนอื่น แบบนี้จะโตเร็ว น่าสนใจกว่า

8. หุ้นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ คือ หุ้นที่มีการเปลี่ยน Business Model ใหม่ ซึ่งอาจจะ Growth ได้ ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับว่าเราทุ่มเทมากแค่ไหน

9. ทำไม นพ. ซื้อเยอะ ซื้อจนติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่
เรื่องของการถือเยอะ จริงๆแล้วเป็นเรื่องของความไม่ตั้งใจมากกว่า เราแค่อยากถือหุ้นแต่ไม่ได้อยากเป็นรายใหญ่ หรือครอบงำบริษัท
... เพียงแต่เราคิดว่าราคาที่เราซื้อตรงนี้มันถูกแล้ว พอหุ้นลงก็มีถูกกว่า เราก็ซื้อเพิ่ม ซื้อไปซื้อมากลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แบบไม่ได้ตั้งใจ
แต่มั่นใจได้ว่า เราซื้อเพราะเราเห็นว่าบริษัทดี ผู้บริหารเก่ง
ถ้าผู้บริหารไม่เก่ง เรารู้สึกว่าขัดใจเวลาเขาบริหารแบบนี้เราไม่ควรเข้าไปซื้อหุ้นดีกว่า

10. หุ้นโรงพยาบาล ส่วนตัวมองว่าโตค่อนข้างช้า ใช้เงินลงทุนเยอะมาก แต่การเก็บเกี่ยวช้า
สาเหตุหลักที่หุ้นโรงบาลบางตัวโตเร็วเพราะมีการไปซื้อโรงพยาบาลอื่นมา แต่ด้วยภาพของธุรกิจไม่ได้โตเร็วอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
... และหลังจากนี้เชื่อว่า มันก็จะโตช้า เลยไม่ได้สนใจกลุ่มนี้เท่าไรนัก

11. กลุ่มโรงพยาบาลและการแพทย์เป็น Megatrend จริงๆ
แต่ภาพในปัจจุบัน คือ การลงทุนสร้างโรงพยาบาลใหม่ การแข่งขันสูง กลายเป็น Red Ocean ไปแล้ว มันจึงดูไม่น่าสนใจ แต่ถ้าภาพของธุรกิจเคยลำบากมาก่อน ลงทุนหนักมาแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว แบบนี้ถึงน่าสนใจ มีโอกาสโตได้

12. ในตลาดหุ้นไทยไม่มีสายเทค หรือสายดิจิตอล
แต่สิ่งที่นักลงทุนควรมองหา คือ บริษัทไหนมีความเกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยีบ้างไหม อยู่ใน Supply Chain ของเทคโนโลยี เช่น เป็นผู้ผลิต เป็นผู้ขาย หรือเป็นผู้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี แบบนี้เป็นต้น มองว่ามีบริษัทบางแห่งเป็นแบบนี้อยู่

13. ปีนี้มองว่าหุ้นไทยน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว อัตราดอกเบี้ยต่ำ ธุรกิจเริ่มฟื้น ดัชนีตรงนี้ก็ไม่ได้สูงมาก คิดว่าไม่น่าจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

14. หุ้นปันผล ส่วนตัวไม่ได้สนใจมาก เพราะหุ้นก็จะนิ่งๆ ปันผลที่ได้มาก็ไม่ได้ประทับใจเท่าไร เน้นการเติบโตมากกว่า

15. มองไปอีก 3 ปีข้างหน้ายังมองภาพไม่ชัดเกี่ยวกับหุ้นไทย อาจจะเพิ่มสัดส่วนไปลงทุนต่างประเทศมากกว่า

 .

.

== การลงทุนต่างประเทศ ==

16. มีไปลงทุนต่างประเทศบ้างไหม ช่วงนี้กำลังฮิต
ส่วนตัวมีไปลงทุนต่างประเทศ แต่น้อยมาก ไม่มีนัยยะสำคัญอะไร
ประเทศที่เราไปคือ เวียดนาม เป็นการซื้อกองทุนรวม

17. ส่วนสาเหตุทำไมเราถึงซื้อกองทุนเวียดนามแทน คือ เรารู้สึกว่าไม่ได้หวังผลอะไรมาก และเราไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเวียดนามแบบลึกซึ้งเหมือนเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทย เรียกว่าเป็นการเรียนรู้ดีกว่า ซื้อประสบการณ์ ถ้าเราไม่เริ่มต้นเลย ไม่ลงทุนเลยเราก็จะไม่เข้าใจ

18. หุ้นเทคในต่างประเทศมองว่าแพงไปแล้ว คิดว่า ณ ราคานี้คงไม่ได้ซื้อ

19. หุ้นจีนน่าสนใจไหม ?
มองว่าหุ้นเวียดนามน่าสนใจกว่าหุ้นจีน เพราะหุ้นจีนมักจะโดนแทรกแทรงจากภาครัฐบ่อยครั้ง อีกทั้งเวียดนามก็ดูคล้ายๆเราในสมัยก่อน น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า
คิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้าอาจจะลงทุนเวียดนามเพิ่ม แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูอะไรหลายๆอย่าง