ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นหรือวิ่งลงนั้น เป็นการตอบสนองความต้องการงานมวลชนในตลาด แต่ความต้องการของตลาดนั้นเกิดจาก "ความกล้า" และ "ความกลัว" ของนักลงทุนที่เป็นแรงผลักดัน
พลังของความกลัวนั้นเป็นแรงผลักดันที่มีพลังอย่างมาก และเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ได้ง่ายเหลือเกิน นักลงทุนต่างก็รู้จักติดตามอารมณ์ของตลาด ด้วยความกังวล และความกลัวของนักลงทุนเอง ทำให้ถูกอารมณ์ของตลาดลากจูงไป
ในทางกลับกันนักลงทุนส่วนใหญ่กลับลืมที่จะติดตามอารมณ์ของตนเอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะมีผลต่อการตัดสินใจเป็นอย่างมาก ตลาดวิ่งขึ้นก็ลิงโลด ตลาดวิ่งลงก็เครียดกังวล พอตลาดแกว่ง ใจก็แกว่งตาม
บางครั้งก็เป็น "ความกล้าที่เกิดจากความโลภ" กล้าที่จะซื้อหุ้นในราคาสูง กล้าที่จะไล่ราคา เหตุเพราะเชื่อว่าหุ้นจะราคาสูงขึ้นไปอีก กลัวว่าจะไม่ได้ซื้อ จึงกล้าเข้าซื้อในราคาที่แพงอย่างไม่เกรงกลัว
บางครั้งก็เป็น "ความกลัวที่เกิดจากความโลภ" จึงขายหุ้นออกมา เพราะกลัวว่าหุ้นจะลงแล้วไม่ได้กำไร แต่พอขายแล้วหุ้นวิ่งขึ้นไปต่อ ก็มานั่งเสียดายว่าไม่น่าขายออกไปอีกเลย บางคนกล้ากลับเข้าไปซื้อใหม่ในราคาที่สูงขึ้น อย่างไม่เกรงกลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะลง
ความกลัวที่ไม่กล้าขายหุ้น เพราะกลัวขาดทุนราคาหุ้นยิ่งลงก็ยิ่งขาดทุนหนักขึ้นยิ่งไม่กล้าขายเลย กลายเป็นเกิดอาการ Freeze หาเหตุผลต่างๆนานามาปลอบใจตนเองว่าถือหุ้นไว้ก็ได้ พื้นฐานยังดี ปันผลก็ยังได้ ทั้งที่ใจจริงๆ แล้วพยายามทำใจให้ถือได้มากกว่า
แต่ปัญหาก้คือนักลงทุนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วควรจะกล้าซื้อ กล้าขาย ตอนไหน ต้องกลัวที่จะซื้อตรงไหน การหาหลักยึดที่จะเป็นเครื่องมือในการเตือนสติให้กับนักลงทุนจึงจำเป็นอย่างมาก
นักลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐาน อาจใช้การดูผลประกอบการ ภาพรวมเศษฐกิจ Financial Ratio เช่น P/E, P/BV, ROE, D/E ฯลฯ ใช้ในการเตือนสติ รับรู้ถึงมูลค่าที่เหมาะสมของราคาหุ้นนั้นว่ามันคุ้มค่าที่จะลงทุนหรือไม่ แต่แน่นอนว่าหุ้นบางตัว ถึงราคาจะเกินมูลค่าไปมากแล้ว แต่ราคามันก็ยังสามารถวิ่งขึ้นได้อย่างบ้าคลั่ง
ทำไม ถึงเป็นอย่างนั้น ?
เมื่อเกิดการลากราคาหุ้นขึ้นจนเกินมูลค่ากิจการไปมาก