ชาเขียว - เหนื่อยทั้ง OISHI และ ICHI
15 พ.ค. 2561 / 17.45 น.
ภาษีสรรพสามิตใหม่ที่มีการเรียกเก็บทั้งในด้านของมูลค่า และในด้านของความหวาน ส่งผลให้ต้นทุนของ "ชาเขียว" ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการของทั้ง OISHI และ ICHI
แต่งบที่ออกมาดูเหมือน OISHI จะดูดีกว่า ICHI ซึ่งถ้าไปดูข้างในจะเห็นว่า ไม่แตกต่าง
การประกาศเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่ม ชา และกาแฟพร้อมดื่ม โดยเก็บทั้งในแง่ของมูลค่า และความหวาน ทำให้ผู้เล่นในตลาด ไม่ว่าจะเป็น OISHI ICHI จำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาขายขึ้น ซึ่งเป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภค
หากมองในแง่ของความต้องการให้ประชาชนกินหวานให้น้อยลง นับว่าก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง เพราะราคาต่อขวดที่แพงขึ้นถึง 2 - 5 บาท (ขนาด 500 มล. ขึ้นจาก 20 บาทเป็น 25 บาท) ทำให้คนเบือนหน้าหนี "ชาเขียว" ไปพอสมควร
เมื่อราคาแพงขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติ ที่ถ้าเราไปอ่านคำชี้แจงของทั้ง 2 บริษัทจะบอกตรงกันว่า ตลาดชาเขียว "ไม่โต"
หลายคนพุ่งเป้าโจมตีชาเขียวในไทยว่า เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ เหมือนน้ำเชื่อมใส่กลิ่น ไม่มีรสชาแต่อย่างใด ซึ่งคนที่วิจารณ์ก็คงลืมไปว่า เครื่องดื่มในชั้นเครื่องดื่มที่ขายในบ้านเรานั้น มีอะไรที่ "ไม่หวาน" บ้าง และเราจะหาประโยชน์จากเครื่องดื่มชนิดอื่นได้หรือ??
น้ำผลไม้ส่วนใหญ่ก็เป็นน้ำผลไม้ที่มาจาก น้ำผลไม้เข้มข้น ไม่ใช้น้ำผลไม้จากการคั้นสด และแม้ว่าจะบอกว่า "ไม่เติมน้ำตาล" แต่น้ำตาลจากน้ำผลไม้เองก็มีไม่ใช่น้อย และหากเทียบราคาต่อปริมาณแล้ว ต้องบอกเลยว่า น้ำผลไม้มีราคาที่ "แพง" มาก
เราคงไม่พูดถึงในแง่ของประโยชน์อะไรกันมากมาย เพราะหลายคนก็มอง "ชาเขียว" เป็นผู้ร้ายในตลาดเครื่องดื่มอยู่แล้ว นับตั้งแต่คุณตันเริ่มการเปิดฝาชิงเงินล้าน โดยมองว่า เป็นการมอมเมาให้คนหันมาดื่มเพียงเพราะอยากได้รางวัล
ซึ่งงบโฆษณา จัดเคมเปญเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม แต่อาจไม่รุนแรงเท่าสมัยก่อน
ถ้าเทียบ OISHI กับ ICHI ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากภาษีสรรพสามิตกันทั้งคู่ และอยู่ในตลาดเดียวกัน แต่ OISHI กลับยังสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีกว่า นั่นเพราะส่วนแบ่งการตลาดของ OISHI อยู่ในอันดับ 1 และมีส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ก่อนหน้านี้ตอน ICHI เข้าตลาดใหม่ๆ ส่วนแบ่งยังบี้ตาม OISHI มาชนิดที่เรียกว่าหายใจรดต้นคอ แต่หลังจากนั้น ก็โดนทิ้งห่างกลับออกไป)
ผู้ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูง จะยังคงรักษากำไรเอาไว้ได้มากกว่า เพราะขายได้มากกว่า นั่นเพราะไม่ใช่ว่าการขายจะขาดทุน มันมีกำไร แต่กำไรน้อยลงเพราะต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้น
ด้วยความที่ OISHI มีส่วนแบ่งตลาดที่สูงกว่า จึงดูเหมือนจะยังมีกำไรมากกว่า แต่เอาเข้าจริง ก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
และอีกอย่างก็คือ เราไม่สามารถดูกำไรที่ประกาศออกมาได้แล้วเปรียบเทียบตรงๆกับ ICHI นั่นเพราะ OISHI มีธุรกิจร้านอาหารด้วย ซึ่งธุรกิจร้านอาหารยังคงมีกำไรที่คงตัวจากปีที่แล้ว
แต่หากเทียบเฉพาะเครื่องดื่มแล้วล่ะก็ ทั้ง 2 ราย ล้วนเจ็บเหมือนกัน
ราคา OISHI ดูเหมือนจะได้ได้ปรับลงรุนแรงนัก ผิดกับ ICHI ที่วันนี้ราคาหุ้นปรับตัวลงราว 20% หลังประกาศกำไรหายไปครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
หากเข้าไปดูรายละเอียด เราเห็นพัฒนาที่ดีขึ้นในทุกๆด้าน ค่าใช้จ่ายๆลดลงหมด รวมถึงตัวเลขขาดทุนจากธุรกิจในอินโดนีเซียก็ลดลงมาราว 10 ล้านบาท แต่สิ่งที่ทำให้กำไรหายไปก็คือ ยอดขายที่มันหายไป
ICHI พยายามหนีตายด้วยการหันไปจับเครื่องดื่มประเภทอื่น เช่นเครื่องดื่มให้พลังงาน T247 และน้ำผลไม้ไบเล่
แต่ขอวิจารณ์ตามตรงนะครับ ในความเห็นของผม ที่เป็นคนที่ชอบกินชาเขียวหวานๆอย่างมาก ผมซื้อชาเขียวน้อยลงมากๆ หลังมีการปรับราคาขึ้นมาขวดละ 5 บาท
และสำหรับ ICHI รสชาติชาเขียวของคุณมันสู้ OISHI ไม่ได้เลย ความหวานแบบใส่กลิ่นอะไรบางอย่างที่มันปะแล่มปะแล่ม เหมือนกลิ่นดอกมะลิ หรือกลิ่นนมแมวที่ชอบใส่กันในขนม ทำให้รสชาติชาเขียวของ ICHI มันแปลก
ฝากถึงคุณตันด้วยความหวังดีอีกอย่างหนึ่งว่า คุณตันเอา "ไบเล่" ที่อยู่ในความทรงจำของผมมาปู้ยี่ปู้ยำซะจนเละเทะ รสชาติดั้งเดิมของไบเล่ที่ผมต้องซื้อเป็นขวดกินทุกวันก่อนนั่งรถเมล์กลับบ้านจากโรงเรียน วันละขวด มันถููกคุณตัน "ทำลาย" เสียจนหมดสิ้น
ไบเล่ที่ผมรัก ไม่ใช่น้ำส้มที่ใสเป็นน้ำล้างเท้าแบบปัจจุบัน ดังนั้น ผมจึงขอเก็บ "ไบเล่" ในความทรงจำของผม ให้มีเพียงไบเล่ในอดีต และไม่ขอเก็บเอารสชาติไบเล่ในมือของคุณตันมาทำให้ความทรงจำในวัยเด็กของผมต้องแปดเปื้อน
สรุปว่า ตลาดชาเขียว ไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้นอีกต่อไป และโปรโมชั่นต่างๆจะยังคงต้องจัดเพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด รวมถึงรักษาลูกค้าที่มีทางเลือกในการบริโภคเครื่องดื่มชนิดอื่นในปัจจุบันให้คงอยู่
แต่จะบอกว่า ชาเขียวหวานๆแบบนี้จะล้มหายตายจากไปจากตลาดเลยหรือไม่ คงบอกว่าไม่ เพราะมันก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงบริโภคอยู่
ถ้าจะลองเปิดตลาดใหม่ โดยการเติมชาเข้าไปให้มากขึ้น เพื่อให้มันมีรสชาติของความเป็นชามากกว่านี้ และลดความหวานและการแต่งกลิ่นลง โดยเฉพาะความหวาน ถ้าลดลงจนถึงเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนด ก็ไม่ต้องเสียภาษีน้ำตาล และอาจจะได้กลุ่มลูกค้าที่ "ไม่อยากกินน้ำหวานใส่กลิ่น" หันมากินจะทำได้ไหม
หลายคนที่รักสุขภาพบอกว่า เครื่องดื่มในไทยใส่น้ำตาลเยอะมาก คนไทยบริโภคน้ำตาลมาก เครื่องดื่มก็หวานเสียจนคิดว่ากินน้ำเชื่อม ทำไมไม่ลดความหวานลง??
แต่ก็มีคนย้อนว่า ไทยกับอินโดเป็นประเทศที่บริโภคน้ำตลาดในปริมาณที่สูงมาก เพราะประเทศอยู่ในเขตร้อน อากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้เครื่องดื่มที่จะขายได้ต้องใส่น้ำตาลมากๆ
ก็ว่ากันไป
แต่ที่แน่ๆ หมดยุคทองของ "ชาเขียว" ไปแล้วล่ะ
จากคนที่เคยเป็นทาสชาเขียวหวานๆ
---------------------------------------
ขอบคุณ Wattana Stock Page