21 พฤษภาคม 2561 -- COMPANY UPDATE : STA : บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป
ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี - STA
ซื้อเก็งกำไร (คงคำแนะนำ)
ราคาปิด (บาท) 12.60
ราคาพื้นฐาน (บาท) 12.90 (+5.92%)
ผลผลิตยางที่มากกดดันให้ราคายางปรับขึ้นได้จำกัด
ผู้บริหารคาดราคายางคงปรับขึ้นได้ไม่มากนักจาก 1) ฤดูการปิดกรีดยางของไทยปีนี้สั้นกว่าปกติทำให้การเปิดกรีดเร็วขึ้นส่งให้ผลผลิตยางมาก 2) คาดปริมาณฝนที่มากหนุนให้ผลผลิตยางออกมามากซึ่งทำให้ปริมาณผลผลิตยางยังเพิ่มขึ้นซึ่งสอดคล้องกับ IRSG คาดการณ์ผลผลิตยางตลาดโลกปี 2561 อยู่ที่ 13.5 ล้านตันเพิ่มขึ้น1.9% y-y ขณะที่ปริมาณความต้องการยางอยู่ที่ 13.3 ล้านตันเพิ่มขึ้น2.4% y-y ทำให้มียังมีอุปทานส่วนเกินอยู่ 126,000 ตัน โดยประเทศที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นหลัก ๆ มาจากประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ 3 ประเทศผู้ผลิตหลักอย่างไทย, อินโดนีเซียและมาเลเซีย ขณะที่ผู้นำเข้าหลักอย่างจีนยังเห็นความต้องการเพิ่มขึ้น
ธุรกิจถุงมือยางเริ่มเห็นการฟื้นตัวหลังการแยกกิจการออกมา
ตั้งแต่ 16 มี.ค. 2560 หลังการแยกกิจการถุงมือยางแล้วเสร็จทำให้บริษัทสามารถเข้าบริหารธุรกิจถุงมือยาง 100% (บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (STGT)) ปัจจุบันบริษัทดังกล่าวมีการผลิตทั้งถุงมือที่ผลิตจากยางธรรมชาติ (NR) และถุงมือที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ (NBR) ซึ่งมีสัดส่วนการ ขายใน 1Q61 ที่ 56% : 44% ผู้บริหารตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถุงมือยางในปี 2561 เป็น 16,028 ล้านชิ้น/ปี โดยสิ้น 1Q61 มีกำลังการผลิตที่ 15,700 ล้านชิ้น ขณะที่ตั้งเป้าปริมาณขายเพิ่มเป็น 20,000 ล้านชิ้น/ปีจาก 16,000 ล้านชิ้นในปี 2560 และจะเพิ่มปีละ 2,000 ล้านชิ้น/ปีหลังจากปี 2561 ทางฝ่ายมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อ STGT หลังการแยกกิจการแล้วเสร็จส่งผลให้การบริหารจัดการทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแม้ว่าการดำเนินงานในปัจจุบันจะยังไม่อยู่ในระดับที่ดีอย่างเช่นในอดีตแต่จะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอีกทั้งยังได้ผลบวกจากราคายางที่ลดลงเนื่องจาก NR ใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิตซึ่งราคาขายจะอิงกับราคายางธรรมชาติ แต่อาจได้รับผลกระทบทางลบจาก NBR ที่มีส่วนผสมจากน้ำมันในการผลิตซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้กำไรในกลุ่ม NBR ลดลง
แนวโน้มการดำเนินงานปี 2561 ยังเติบได้จากกลยุทธ์การขายที่เน้นกำไรมากกว่าปริมาณขาย
แม้กำไรที่ประกาศมาจะดีกว่าที่คาดไว้ แต่แนวโน้มราคายางที่คาดว่าจะปรับขึ้นได้จำกัด อีกทั้งช่วงไตรมาส 3 ซึ่งปกติจะเป็นช่วงเวลาที่ยากในการดำเนินงาน ประกอบกับปัญหาสงครามการค้าที่เกิดขึน้ระหว่างจีนและสหรัฐทำให้อาจส่งผลกระทบกับกำลังซื้อได้ทำให้ทางฝ่ายยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2561 ไว้ดังเดิม โดยคงเป้าปริมาณขายที่ 1.38 ล้านตันเพิ่มขึ้น5% y-y ขณะที่ราคาขายคาดลดลง 20% คาดยอดขาย 76,168 ล้านบาทลดลง 15% y-y และนโยบายการเลือกการขายที่เน้นกำไรเป็นหลักทำให้แนวโน้ม margin จะดีขึ้นแต่หากว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งและค่า cess ที่ปรับขึ้นเป็น 2 บาท/กิโลกรัมจาก 1.40 บาท อีกทั้งอัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก BOI ที่หมดลงและกำไรที่ดีขึ้นจาก STGT ประมาณการกำไรสุทธิ 1,524 ล้านบาทเพิ่มขึ้น206% y-y
คงคำแนะ “ซื้อเก็งกำไร” คงราคาพื้นฐาน 12.90 บาท
แม้ราคายางที่ปรับขึ้นจำกัดอาจไม่ส่งผลบวกต่อการดำเนินงานมากนัก แต่กลยุทธ์การขายที่เปลี่ยนไปช่วยให้การดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกครั้ง ณ ราคาปัจจุบันทางฝ่ายคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาพื้นฐาน 12.90 บาท