การเข้าป่าล่าสัตว์เป็นอาชีพของนายพราน โดยเฉพาะการล่าสัตว์ใหญ่อย่างเช่น เสือ สิงห์ กระทิง แรด หรือหมี ผู้ล่าต้องเป็นพรานมืออาชีพเท่านั้น จึงจะทำการล่าสัตว์ที่มีความดุร้ายและอันตรายเหล่านี้ได้ เพราะไม่งั้นผู้ถูกล่าอาจกลับกลายเป็นนายพรานเสียเอง สิ่งแรกที่นายพรานมืออาชีพต้องทำเมื่อเข้าไปในป่าเพื่อทำการล่าสัตว์พวกนี้ก็คือการ “แกะรอย”
ในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน หุ้นที่กำลังเข้าสู่ภาวะกระทิง พร้อมที่จะวิ่งไปข้างหน้า เพื่อทำเงินให้นักลงทุนมืออาชีพ ผู้ตามล่ามันนั้นก็จะทิ้งร่องรอยแบบเดียวกันเอาไว้เหมือนกับกระทิงที่อยู่ในป่า แต่การแกะรอย นั้นต้องอาศัยความชำนาญ ความคุ้นเคยกับนิสัย รวมทั้งเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสัตว์ หรือหุ้นที่ต้องการล่า
เมื่อเราต้องการล่าหุ้นกระทิง เราก็ต้องทำความรู้จักกับเอกลักษณ์และนิสัยของมันก่อน เพื่อที่จะได้อ่านร่องรอยที่มันทิ้งเอาไว้ และตามแกะรอยจนพบตัวเป็น ๆ ของมันถูก
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2518 ซึ่งการซื้อขายในวันแรกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.98 ล้านบาท โดยมีผู้จัดการคนแรกชื่อ ศุกรีย์ แก้วเริญ
เนื่องจากการที่มีหลักทรัพย์ให้เลือกลงทุนเพียงสิบกว่าบริษัท จึงทำให้ดัชนีของ SET แกว่งตัวขึ้นลงอยู่ในช่วงแคบ ๆ และเคยลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 77 จุด ต่อจากนั้นก็มีเจ้าของกิจการค่อย ๆ ทยอยนำบริษัทของตนเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงปี 2520 – 2521 ตลาดหุ้นของเราก็เข้าสู่ “ภาวะกระทิง” เป็นครั้งแรก ภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้นขยายตัวสูง บริษัทต่าง ๆ แห่เข้าจดทะเบียนเป็นจำนวนมากเมื่อสิ้นปี 2521 จำนวนหลักทรัพย์ที่เข้ามาจดทะเบียนเพิ่มขึ้นถึง 71 บริษัท จากที่เคยมีเพียง 16 หลักทรัพย์ในตอนแรกเริ่ม วอลุ่มการซื้อขายในปี 2521 ทะยานขึ้นมาสูงถึง 57,272 ล้านบาท เจ้ากระทิงตัวแรกก็เข้ามาในตลาด ซึ่งก็ส่งผลให้ดัชนีของ SET เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 77 จุด ขึ้นไปที่ระดับ 266 จุดในเดือนพฤศจิกายน 2521 เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 189 จุด หรือคิดเป็น 248% ภายในระยะเวลา 2 ปี 9 เดือน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสวยงามไปหมดในตลาดหลักทรัพย์
แต่หลังจากนั้นบริษัทราชาเงินทุนก็เขย่าตลาดจนเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง และทำให้ตลาดแทบพัง นับเป็นครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประสบปัญหาราคาหุ้นตกต่ำอย่างมาก อันเป็นเรื่องที่นักลงทุน หรือนักเก็งกำไรในประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
บริษัทราชาเงินทุน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยสมัยนั้น นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2520 เริ่มต้นจากทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท และมีราคาเปิดที่ 275 บาท จากนั้นก็ได้มีการเพิ่มทุนมากขึ้นตามลำดับ ปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนอีกรวม 1,920 ล้านบาท และขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยการให้ลูกค้ากู้ยืมเงินไปซื้อหุ้น และปล่อยกู้ให้กับบริษัทในเครือ 3 บริษัท เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นบริษัทตัวเองอีกเช่นกัน วันที่ 15 พฤศจิกายน 2521 ราคาหุ้นได้พุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 2,470 บาท จากการไล่ซื้อ หรือปั่นหุ้นของตนเองในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อราคาหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด เริ่มลดลงมาเรื่อย ๆ จาก 2,470 เหลือแค่ 380 บาท บริษัทราชาเงินทุนประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และขาดเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานอย่างมาก จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยนั้น แต่งตั้งคณะกรรมการเข้าไปควบคุมการดำเนินงานของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด จนในที่สุดกระทรวงการคลังต้องสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของบริษัทราชาเงินทุน เนื่องจากบริษัทเกิดสภาวะล้มละลาย มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2522
จากเหตุการณ์วิกฤตราชาเงินทุนครั้งนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนอย่างมาก วิกฤตที่รุมเร้าทั้งภายในและภายนอกไม่ว่าจะเป็นการขึ้นราคาน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปคถึง 30% ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในระดับสูงมาก บีบให้รัฐบาลต้องลดค่าเงินบาทหลายครั้ง ทำให้ตลาดหุ้นซบเซายาวนานถึง 4 ปี เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นอุทาหรณ์สอนใจนักลงทุนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดีว่า การเข้ามาในตลาดหุ้นอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั้น ในบั้นปลายพวกท่านจะกลายสภาพเป็นเช่นไร
สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้งในปี 2529 โดยประเทศไทยสามารถกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสำเร็จเป็นครั้งแรกในปีนี้ หลังจากที่ประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัดยาวนานติดต่อกันถึง 20 ปี และนี่คือโฉมหน้าของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วง 10 ปีแรก (2518 – 2528)
จากนั้นกลางปี 2529 เจ้ากระทิงตัวใหม่ได้กลับเข้ามาในตลาด ทุกอย่างกลับเข้ามาสดใสอีกครั้ง ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอย่างรวดเร็วที่ระดับ 243 จุดภายในเวลา 2 เดือน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ “วันจันทร์ทมิฬ” (Black Monday) วันที่ 19 ตุลาคม 2530 ส่งผลให้ตลาดหุ้นในตลาดสำคัญ ๆ ของโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว วิกฤตการณ์ครั้งนี้มีจุดกำเนิดที่ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาดิ่งลงมากที่สุด ตลาดกลับมาบูมอีกครั้งในปี 2531 – 2532
ในปีถัดมา 2533 ดัชนีวิ่งขึ้นไปถึงระดับ 1,143 จุด ในวันที่ 23 กรกฏาคม 2533 คิดเป็นการวิ่งขึ้นถึง 900 จุด เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 370% ก่อนจะถูกเทขายอย่างรุนแรงเมื่อเกิดเหตุการณ์อิรักบุกเข้ายึดครองคูเวต เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ซึ่งก่อให้เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียอย่างเต็มรูปแบบ ตลาดหุ้นไทยต้องตกอยู่ในความพะว้าพะวัง เมื่อตลาดตั้งหลักได้แล้ว ก็กลับตัววิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงอีกครั้ง โดยแรงขายที่มีออกมาเป็นระยะๆ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2535 เหตุการณ์นี้สืบต่อมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช.เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จนเกิดเหตุการณ์ไม่สงบภายในประเทศ หรือพฤษภาทมิฬ
เมื่อเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติในเดือนกันยายน 2535 ตลาดก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังปี 2535 ไทยเริ่มใช้นโยบายเปิดเสรีทางการเงิน เพื่อหวังจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค (Financial Hub) โดยการยกเลิกเพดานอัตราดอกเบี้ย ลดการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรานโยบายเปิดเสรีทางการเงิน ทั้งยังได้มีการเปิดบริการวิเทศธนกิจ (Bangkok International Banking Facility – BIBF) ซึ่งการเปิด BIBF โดยการคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินไหลเข้าประเทศอย่างมากมายมหาศาล
เงินจำนวนมหาศาลจากตลาดหุ้นและการกู้อย่างง่าย ๆ จากธนาคารไหลไปเก็งกำไรในเกือบทุกที่ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินว่างเปล่าถูกนำมาปั่นราคา และเก็งกำไร เมื่อมีการก่อสร้างอย่างบ้าคลั่ง ประมาณกันว่า ในช่วงปี 2536-2540 มีการก่อสร้างบ้านปีละมากกว่า 150,000 ยูนิต ทั้ง ๆ ที่ความต้องการที่แท้จริงมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถหาเงินไปชำระหนี้ธนาคารได้ กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)
เมื่อดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,789 จุด เมื่อต้นปี 2537 จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หนี้ระยะสั้นของประเทศรวมสูงมาก และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีราคาโอเวอร์จนมากเกินไปแล้ว ความต้องการย่อมลดลงเป็นธรรมดา เมื่อความจริงปรากฎฟองสบู่ก็แตกจากแรงซื้อมหาศาล กลับกลายเป็นแรงขายอย่างมหาศาลเช่นกัน และในที่สุดราคาหุ้นร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว และรุนแรงลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ระดับ 204 จุดเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2541 และลงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน “2 ปีครึ่ง” (2539 – กลางปี 2541) หุ้นของ 6 ธนาคารและ 56 Finance เหลือเพียง 1 สตางค์จนต้องออกจากตลาด และถูกรัฐบาลเข้าควบคุมกิจการ แล้วนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดในราคาถูก ๆ นักลงทุนที่สายป่านไม่ยาว ล้มละลายหมดเนื้อหมดตัว กลับกลายเป็น “คนเคยรวย”
เมื่อพายุฝนผ่านพ้นไปท้องฟ้าก็เริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง ตลาดเริ่มหมุนตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ช่วงต้นปี พ.ศ.2552 ภาวะเศรษฐกิจในทวีปยุโรปบางประเทศกำลังเริ่มมีปัญหากับหนี้สาธารณะ อันเกิดจากการโอนหนี้สินภาคเอกชนจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ไปเป็นหนี้สาธารณะ โดยการให้เงินช่วยเหลือระบบการธนาคารปลาย พ.ศ. 2552 ความกลัววิกฤตหนี้สาธารณะเริ่มมีมากขึ้นในหมู่นักลงทุน สถานการณ์เริ่มตึงเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในต้นปี พ.ศ.2553 รวมไปถึงสมาชิกยูโรโซน ลองดูที่ทวีปเอเชียกันบ้าง จากวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ที่เกิดจากประเทศไทยเมื่อปี 2540 ทำให้หลายประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบในครั้งนั้นเริ่มตั้งการ์ดรัดกุมขึ้น มีความระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการเงินในประเทศไทย
เอเชียไม่ได้มีภูมิคุ้มกันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ก็ไม่ตกเป็นผู้รับเคราะห์จากปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเอเชียยังคงผูกติดกับกิจกรรมของโลกผ่านช่องทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น และการรวมตัวกันกับตลาดการเงินระหว่างประเทศที่แน่นแฟ้นมากขึ้น อีกทั้งการเจริญเติบโตของขุมพลังทางเศรษฐกิจของเอเชียอย่างจีนและอินเดีย ได้ช่วยให้ภูมิภาคนี้คงรักษาทิศทางการเติบโตที่แข็งแกร่งไว้ได้ ก็ทำให้เงินทุนทั่วโลกไหลกลับมายังทวีปเอเชีย ส่งผลให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์จากเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้ามาในคราวนี้ด้วย
นี่คือภาพใหญ่ ๆ ของความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย เราจะเห็นได้ว่าในขณะที่ตลาดอยู่ในขาขึ้น จะมีการขยายตัวของราคาที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าสนใจ และในตลาดขาลงก็มีการปรับตัวลดลงที่รุนแรงพอ ๆ กันในแต่ละช่วง ดังนั้นถ้าเราสามารถเข้าไปลงทุนในตลาดได้อย่างถูกจังหวะ ก็จะได้ผลตอบแทนที่งดงามเลยทีเดียว
เมื่อเราทำความรู้จักกับตลาดและการเคลื่อนไหวของดัชนีมาพอสังเขปแล้ว พอสรุปได้ว่าตลาดนั้นมีขึ้นมีลงตามปกติวิสัยของมัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ไหนในโลกก็จะมีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน ในขณะที่ตลาดเป็นขาขึ้นเราก็ได้เห็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างที่สุด แม้ว่าตลาดจะให้ผลตอบแทนที่น่าตื่นตา ตื่นใจ แต่ในขณะที่ตลาดขาลงสถานการณ์ก็จะเป็นตรงกันข้าม และอาจทำให้นักลงทุนหมดเนื้อหมดตัวได้เหมือนกัน ตามกฎที่ว่า “ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็จะสูงตามไปด้วย” (High Risk High Return)
ที่มา : แกะรอยหุ้นกระทิง SET
เรื่องโดย : ดม ดอนชัย